2503 สงครามลับ สงครามลาว (79)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (79)

 

สรุปสถานการณ์ ธันวาคม 2514

“ผาอิน” สรุปสถานการณ์หลังจากข้าศึกเปิดการรุกใหญ่ตาม CAMPAING Z ตั้งแต่ 17-31 ธันวาคม พ.ศ.2514 ดังนี้

ในขณะที่ข้าศึกกำลังเข้าตีใหญ่ในทุ่งไหหิน ข้าศึกได้แทรกซึมเข้ามาตั้งอาวุธหนักและระดมยิงเข้ามาที่ล่องแจ้งตั้งแต่ 19 ธันวาคม 2514 และหลังจากข้าศึกมีชัยเหนือทุ่งไหหินแล้วก็รีบจัดระเบียบใหม่พุ่งตรงเข้าคุกคามล่องแจ้งทันที ประชาชนเริ่มอพยพหนีออกไป บ้างก็ขึ้น บ.ไปยังเวียงจันทน์ บ้างก็พากันเดินด้วยเท้าไปยังบ้านซ้อนหรือนาซูและบริเวณใกล้เคียงซึ่งอยู่บนเส้นทางไปสู่เวียงจันทน์

ขณะที่กำลังฝ่ายเราที่รักษาล่องแจ้งในขณะนั้นมีเพียง 2 กองพัน คือ พัน ทสพ.616 และ 618 ส่วนพัน ทสพ.617 พร้อมด้วยพัน ทสพ. 618 บางส่วนนั้นไปรอรับกำลังพลที่แตกจากทุ่งไหหินที่ภูล่องมาด นอกจากนั้นก็มีปืนใหญ่จากฐานยิงคอบร้า รับหน้าที่ตั้งฐานยิง ป.105-2 กระบอกที่บริเวณศาลาพีดีเจ และกำลังพลจากฐานยิงแพนเธอร์ รับหน้าที่ตั้งฐานยิง ค.4.2-4 กระบอกเท่านั้น

ข้าศึกจำนวนมากเริ่มวางกำลังรายล้อมล่องแจ้ง ปืนใหญ่และอาวุธหนักข้าศึกเริ่มระดมยิงอย่างหนักโดยเฉพาะในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ข้าศึกได้ระดมยิง ป.130 กว่า 200 นัด ตั้งแต่เวลาประมาณ 17.00 น. ทำให้คลังวัตถุระเบิดที่บริเวณท้ายสนามบินระเบิดขึ้นติดต่อกันถึงรุ่งเช้าวันปีใหม่

บก.ฝ่ายเราที่ล่องแจ้งจึงอยู่ในภาวะที่ล่อแหลมต่อการถูกปิดล้อมเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่ข้าศึกไม่ทราบที่ตั้ง บก.ฉก.วีพี จึงได้แต่ระดมยิงไปยังบริเวณที่ทำการของฝ่ายสหรัฐและกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ของราชอาณาจักรลาว

กำลังทหารราบทั้ง 2 กองพันของเรายังคงยืนหยัดต่อสู้รักษาที่มั่นบนแนวสกายไลน์ร่วมกับทหารของนายพลวังเปาอย่างเหนียวแน่น

 

มกราคม 2515

1 มกราคม

บันทึกของ “ผาอิน”

“ฝ่ายเราในขณะนั้นมีกำลังทหารราบรักษาล่องแจ้งอยู่เพียง 3 กองพันคือ พัน ทสพ.616, 618 และพัน ทสพ.617 ซึ่งถอนตัวจากบริเวณภูล่องมาดมาได้อย่างหวุดหวิดและเกือบจะถูกปิดล้อม

ทางด้านปืนใหญ่ฝ่ายเรา คงมีเพียงกองพันเราคือฐานยิง ‘แคนเดิล’ ประกอบด้วย ป.105 ม.ม. 2 กระบอก ตั้งอยู่บริเวณศาลาพีดีเจ. กับฐานยิง ค.4.2 อีก 4 กระบอก และพัน ป.ทสพ.636 เท่านั้นที่จะสนับสนุนทหารราบในการตั้งรับข้าศึก จึงเป็นที่น่าวิตกว่าฝ่ายเราอาจจะไม่สามารถต้านทานกำลังอันมหาศาลของข้าศึกได้

ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นมา ข้าศึกเริ่มลำเลียงพลเข้ายึดสันเขารอบล่องแจ้งเป็นจุดๆ ภายใต้การสนับสนุนของอาวุธหนักทุกชนิด พร้อมกันนั้นก็ส่งหน่วยกล้าตาย (SAPPER) เข้ามาตีฉาบฉวยต่อที่ตั้งต่างๆ ในตัวเมืองและสนามบิน (LS 20-A) ทำลายเครื่องบินตรวจการณ์เราได้ 2 เครื่อง

นอกจากนั้น ยังได้พยายามบุกเข้าไปในบ้านนายพลวังเปา (ข้าศึกถูกสังหหาร 14 ศพ ฝ่ายทหารท้องถิ่นที่รักษาบ้านเสียชีวิต 1 นาย) และเกิดการสู้รบกันเป็นจุดๆ อยู่ทั่วไป

ขณะนั้นกำลังทหารของนายพลวังเปาทั้งหมดได้ถอนตัวออกจากล่องแจ้งไปตั้งมั่นอยู่ที่เนินเขาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิ้งให้กำลังทหารเสือพรานรักษาเมืองซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากการถล่มด้วยอาวุธหนักของข้าศึก นับว่า บก.ฉก.วีพี กำลังตกอยู่ในฐานะที่ล่อแหลมต่อการถูกปิดล้อมและบดขยี้ของข้าศึกอย่างยิ่ง”

ที่กรุงวอชิงตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เฮนรี คิสซินเจอร์ ซึ่งติดตามสถานการณ์ในลาวอย่างใกล้ชิดออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงให้อำนาจอนุมัติการใช้บี 52 ในการสนับสนุนวังเปาที่ล่องแจ้งสามารถกระทำได้ในระดับ COMUSMACV (ไซ่ง่อน) เพื่อความรวดเร็ว ส่งผลให้นับตั้งแต่บ่ายของวันที่ 1 มกราคมนี้ เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสหรัฐได้เข้าโจมตีที่ตั้งยิง ป.130 ม.ม.ที่กำลังโจมตีเมืองล่องแจ้งถึงสองเที่ยว

แต่เป้าหมายยังไม่ถูกทำลาย ตามรายงานของฝ่ายเวียดนามเหนือระบุว่าเป็นเพียงที่ตั้งยิงลวง

 

2 มกราคม ประธานาธิบดีนิกสัน

: “ล่องแจ้งจะต้องไม่แตก”

ที่วอชิงตัน มีบันทึกเสียงสนทนาระหว่างคิสซินเจอร์กับประธานาธิบดีนิกสันที่ทำเนียบขาวว่า ไม่มีความหวังในลาว กำลังของฝ่ายเวียดนามเหนือที่ถาโถมเข้าสู่พื้นที่ทุ่งไหหินมีมากเกินกว่ากำลังของซีไอเอ และจะต่อสู้ต้านทานได้อีกไม่นานนัก นิกสันเห็นด้วยว่าอีกไม่ช้า ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็คงจะยึดครองประเทศนี้ได้

แต่ต่อมาในรายงานข่าวกรองประจำวันจากซีไอเอที่มีถึงประธานาธิบดีนิกสันบันทึกต่อท้ายว่า “ล่องแจ้งจะต้องไม่แตก”

และบันทึกนี้ได้ย้อนกลับไปกองบัญชาการซีไอเอที่แลงลีย์ในที่สุด

เมื่อกลับมาถึงสำนักงานในวันเดียวกันนั้น คิสซินเจอร์ก็มีคำสั่งด่วนไปยังกองทัพอากาศอีกครั้ง แก้ไขคำสั่งเดิมเป็นมอบอำนาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการกำหนดที่หมายโจมตีด้วยบี-52 ให้แก่ บก.ล่องแจ้ง

 

บันทึกซีไอเอ

เจมส์ อี ปาร์เกอร์ จูเนียร์ สรุปสถานการณ์ห้วงเวลาสำคัญครั้งนี้ว่า…

1-3 มกราคม

เวียดนามเหนือระดมยิงล่องแจ้งด้วยปืนใหญ่ 130 ม.ม. ขณะที่หน่วยทหารราบก็พยามปีนขึ้นทางด้านเหนือของสกายไลน์ มีการปะทะกันเป็นระยะๆ ฝ่ายเวียดนามเหนือยังคงไม่ใช้กำลังขนาดใหญ่ แต่ใช้หน่วยแซปเปอร์ขนาดเล็กทำการเข้าตีเจาะเพื่อเปิดทาง

ระหว่างคืน 2/3 มกราคม ปรากฏรายงานเครื่องบินขับไล่มิกของเวียนามเหนือปรากฏขึ้นใกล้ล่องแจ้ง ทำให้เครื่องบินสนับสนุนของกองทัพอากาศต้องกระจายตัวออกจากพื้นที่ ซึ่งคงเป็นเจตนาข่มขู่และเป็นสัญญาณว่าฝ่ายเวียดนามเหนือจะเพิ่มการกดดันมากขึ้น

3 มกราคม เวียดนามเหนือระดมยิง ป.130 ม.ม.ประมาณ 400 นัดเข้าสู่ล่องแจ้ง ส่งผลให้กองกระสุนและลานบินถูกทำลาย บ.ที 28 มีการสูญเสียแต่ไม่มากนัก

คำสั่งมอบอำนาจสั่งการบี-52 มาถึงล่องแจ้ง พ.อ.ซัวย่า (SHOUA YANG) รองผู้บัญชาการของนายพลวังเปากับซีไอเอร่วมกันกำหนดเป้าหมายสำหรับการทิ้งระเบิดจากบี-52 ลงสู่บริเวณหุบเขาทางเหนือล่องแจ้งที่เรียกว่า “ฟาร์มวังเปา” ซึ่งซัวย่าผู้คุ้นเคยกับภูมิประเทศระบุว่าเป็นพื้นที่เดียวที่ทหารเวียดนามเหนือจำนวนมากจะรวมตัวกันได้

ขณะนั้นยังไม่มีใครทราบว่าคิสซินเจอร์ได้มอบอำนาจอนุมัติการโจมตีด้วยบี-52 ให้แก่ บก.ล่องแจ้งแล้ว ซีไอเอยืนยันความจำเป็นในการโจมตีครั้งนี้ไปยังกองทัพอากาศสหรัฐที่ไซ่ง่อน เพราะตระหนักดีว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่กำลังคับขัน

4 มกราคม

เย็นวันนี้ ปืนใหญ่ 130 ม.ม.ยังคงระดมยิงล่องแจ้ง กลางดึกคืนนั้น บก.ล่องแจ้งได้รับแจ้งจากกองทัพอากาศที่ไซ่ง่อนว่า พิกัดเป้าหมายที่ “ฟาร์มวังเปา” นั้นอยู่ใกล้กับที่ตั้งของฝ่ายเดียวกันมากเกินไป ซึ่งก็ยังคงได้รับการยืนยันหนักแน่นจากล่องแจ้งอีกครั้งว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งและสถานการณ์กำลังคับขัน คำตอบที่ได้รับจากกองทัพอากาศคือ “ยังไม่สามารถยืนยันว่าจะสนับสนุนได้หรือไม่”

5 มกราคม : บี-52 ถล่มสกายไลน์

2 คืนต่อมาหลังคำขอเมื่อ 3 มกราคม บี-52 จำนวน 3 ลำได้ทำการโจมตีเป้าหมาย “ฟาร์มวังเปา” จำนวน 1 เที่ยวบินทางด้านเหนือที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรจากแนวสกายไลน์ซึ่งยังคงมีการวางกำลังบางส่วนของฝ่ายเรา

จากการดักฟังทางวิทยุ สามารถรับฟังได้ถึงความตื่นตระหนก ความหวาดกลัว และความสับสน ในการสั่งการ รวมทั้งรายงานการสูญเสียอย่างหนักของทหารเวียดนามเหนือในพื้นที่โจมตีแห่งนี้

6 มกราคม

หน่วยลาดตระเวนม้งได้เข้าไปตรวจพื้นที่ “ฟาร์มวังเปา” แล้วรายงานว่า ได้พบอาวุธยุทโธปกรณ์และชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์จำนวนมากกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ การทิ้งระเบิดของบี-52 น่าจะลงตรงกลางเป้าหมายการรวมตัวขนาดใหญ่ของข้าศึกพอดี

จากรายงานการปฏิบัติหลังการรบของฝ่ายเวียดนามเหนือ ในส่วนของกรม 866 กองพล 312 ปรากฏว่า หน่วยนี้ได้เข้าที่รวมพลบริเวณภูหมอกซึ่งอยู่บริเวณกลางของสกายไลน์ โดยได้รับภารกิจให้เข้าตีที่หมายบนสกายไลน์ใน 5-6 มกราคม ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะเป็นหน่วยที่ถูกโจมตีด้วยการทิ้งระเบิดของบี-52 ครั้งนี้ เพราะไม่ปรากฏว่ากรม 866 ได้ร่วมการเข้าตีที่หมายบนสกายไลน์แต่อย่างใด และไม่ปรากฏบทบาทใดๆ ในการรบจนถึงสิ้นเดือนมกราคม เนื่องจากต้องถอนกำลังกลับไปเพื่อ “ปรับกำลังใหม่”

แฟ็ก “สปอตไลต์” รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า หลังการโจมตีของบี-52 ครั้งนี้ หน่วยลาดตระเวนทหารเสือพรานได้เข้าตรวจพื้นที่ตะวันตกสุดของสกายไลน์ ได้พบเศษซากอาวุธยุทธโธปกรณ์จากผลของการทิ้งระเบิดครั้งเดียวกันนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งน่าจะเป็นของกรม 148 ที่ไม่ปรากฏรายงานการเข้าปฏิบัติการรบหลังจากการโจมตีครั้งนี้เช่นเดียวกัน

บี-52 ทั้ง 3 เครื่องนี้ได้ทิ้งระเบิดขนาด 750 ปอนด์ รวมทั้งสิ้น 122 ตันลงสู่เป้าหมาย “ฟาร์มวังเปา” ซึ่งเป็นการรวมตัวขนาดใหญ่ของข้าศึก

“ทีม 4″ของ กองร้อยแซปเปอร์ 24 เวียดนามเหนือสามารถเข้ายึดที่หมาย CA และ CW บนแนวสกายไลน์ของทหารไทยไว้ได้ ทั้ง 2 จุดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางยุทธวิธี เนื่องจากเป็นที่สูงข่มเหนือทุกพื้นที่สกายไลน์และล่องแจ้ง