นงนุช สิงหเดชะ : ประชาธิปไตยขำๆ จาก “ธรรมกาย” ถึง “ขวัญชัย” เสื้อแดง

AFP PHOTO / CHRISTOPHE ARCHAMBAULT

ระยะนี้ได้ยินคนทำผิดจำพวกหนึ่งใช้ข้ออ้างเรื่องประชาธิปไตยเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมหรือหนีการจำคุกถี่ขึ้น

รายแรกก็คือศิษย์ของพระ (ลูกศิษย์เขาขอให้ใช้คำนำหน้าแบบนี้ นัยว่าเพื่อให้เกียรติ) ธัมมชโย ที่ลูกศิษย์หญิงสาวคนหนึ่งของธัมมชโยใส่หน้ากาก หมวก ปิดหน้าปิดตา อ่านแถลงการณ์ในวันที่ดีเอสไอนำหมายศาลเข้าค้นวัดพระธรรมกายเพื่อจับกุมธัมมชโยในคดีร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่าน ซึ่งล้มเหลวเพราะโล่มนุษย์ในวัดพระธรรมกายทำให้ดีเอสไอไม่สามารถจับกุมเจ้าอาวาสได้

ศิษย์สาวของธรรมกายคนนั้นระบุในแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่าธัมมชโยจะยอมมอบตัวต่อเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย อ้างว่าตอนนี้บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยจึงขาดหลักประกันเสรีภาพของกระบวนการยุติธรรม

ต่อมาปลายเดือนเดียวกัน ศาลอุดรธานี ได้มีคำพิพากษาจำคุก นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดงอุดรธานี เป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาในข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากกรณีนำพวกพร้อมอาวุธรุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือกลุ่มเสื้อเหลืองเมื่อปี 2551จนบาดเจ็บสาหัส

อย่างไรก็ตาม นายขวัญชัยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาและไม่มารับโทษตามคาด ขณะที่ภรรยานายขวัญชัยออกมาระบุว่า ไม่ทราบว่าตอนนี้สามีหลบอยู่ที่ไหน และอ้างอีกว่าหากประเทศไทยมีประชาธิปไตยเมื่อไหร่ คิดว่านายขวัญชัยน่าจะกลับมารับโทษ

“ช่วงนี้ยังถือว่ายังไม่มีประชาธิปไตย เมื่อคิดว่ายังไม่มีความยุติธรรมก็คงไปหาที่ปลอดภัยของตัวเอง เพราะขนาดตัวแกเองอยู่ที่บ้านยังไม่ปลอดภัย ทำให้เราคิดว่าที่ผ่านมาตัวแกเองถูกรังแกมากที่สุด” ภรรยานายขวัญชัยกล่าว

 

จริงๆ แล้วกรณีของนายขวัญชัยเป็นเรื่องของกรรม คือทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น และที่ต้องถูกลงโทษจำคุกก็เพราะนายขวัญชัย “ไม่เป็นประชาธิปไตย” และไม่รู้จัก ไม่เข้าใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

คนรู้จักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง อยู่ในจิตสำนึกและจิตวิญญาณจริงๆ เขาจะไม่ทำร้ายร่างกายคนอื่นที่เห็นต่าง แต่เหตุการณ์คราวนั้นโหดเหี้ยมเพราะเป็นการบุกรุมสกรัมแบบหมายเอาชีวิตฝ่ายตรงข้าม

คนที่เป็นประชาธิปไตยโดยจิตวิญญาณ จะมีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือเห็นคุณค่าของมนุษย์ เห็นคนอื่นเป็นมนุษย์ จึงจะไม่ทำร้ายร่างกายหรือฆ่าคนอื่นที่เป็นฝ่ายตรงข้ามหรือที่มีความคิดเห็นต่างจากเรา

แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อพรรคการเมืองซีกเดียวกับนายขวัญชัยครองอำนาจ คนเสื้อสีเดียวกับนายขวัญชัยได้กระทำการที่เอาชีวิตคนอื่นมาหลายครั้ง

เช่น ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่การชุมนุมของคนเสื้อเหลืองหลายครั้ง มีผู้เสียชีวิตกว่า 10 ราย บาดเจ็บนับร้อย

ครั้งล่าสุดก็คือเมื่อต้นปี 2557 (ก่อนรัฐประหาร) ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกนับสิบรวมทั้งเด็ก โดยที่รัฐบาลในขณะนั้นจับกุมใครไม่ได้ (หรืออาจจะไม่ใส่ใจจับกุมก็เป็นได้)

ส่วนที่ภรรยานายขวัญชัยอ้างว่าต้องหลบหนีเพราะชีวิตไม่ปลอดภัยและถูกรังแกนั้น ก็น่าจะไปทบทวนตัวเองเช่นกันว่าก่อนหน้านี้ไปรังแกอะไรคนอื่นเอาไว้บ้าง เคยคุกคามคนอื่นเอาไว้บ่อยแค่ไหนในสมัยที่มีคนถือหางตัวเอง คนอื่นเขาได้อยู่บ้านอย่างสุขสบายและปลอดภัย ปราศจากการถูกคุกคามหรือไม่

ด้วยเหตุนี้ถึงได้มีคนแซวว่า สมัยนี้คนไทยอีกมากไม่อยากมีประชาธิปไตย เพราะคนเสื้อสีเดียวกับนายขวัญชัยผูกขาดประชาธิปไตยเสียแล้ว พูดให้ฟังง่ายขึ้นก็คือ คนไทยคงอยากมีประชาธิปไตยกว่านี้ถ้าประชาธิปไตยไม่ไปอยู่กับคนเสื้อแดง

พูดให้ชัดขึ้นอีกก็คือประชาธิปไตยเป็นสิ่งน่ากลัวเมื่อไปอยู่กับคนประเภทเดียวกับนายขวัญชัย

 

การที่ภรรยานายขวัญชัยพูดว่า “รอให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตย” ก่อนจึงจะมาติดคุกนั้น มีความหมายเดียวกับคำว่า “รอให้พรรคทักษิณได้เป็นรัฐบาล” หรือไม่ กล่าวคือ ตราบใดที่พรรคตัวเองไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็คงไม่เป็นประชาธิปไตยใช่ไหมแม้จะมีการเลือกตั้ง

หากเป็นแบบนั้นก็น่าจะสรุปได้ว่า หากพรรคทักษิณชนะเลือกตั้ง นายขวัญชัยคาดหมายว่าด้วยความเป็นพวกเดียวกันจะทำให้ตัวเองรอดพ้นการติดคุก รอดเงื้อมมือกฎหมายใช่หรือไม่

คำถามนี้น่าส่งผ่านไปถึงศิษย์วัดพระธรรมกายเช่นกัน ที่บอกว่ารอให้มีประชาธิปไตย (ซึ่งก็คือรอให้มีการเลือกตั้ง) ก่อน ธัมมชโยจึงจะมอบตัว เพราะในฐานะที่วัดพระธรรมกายปรากฏข่าวอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นศูนย์รวมกำลังพลของพรรคการเมืองซีกหนึ่งในช่วงก่อนหน้านี้โดยเฉพาะช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองของเครือข่ายที่สนับสนุนพรรคทักษิณ

ว่ากันตามจริง ถ้าอยู่ในช่วงรัฐบาลเลือกตั้ง ไม่ว่าในยุคสมัยไหน ไม่มีทางที่เจ้าหน้าที่กระบวนการยุติธรรมในระบบเลือกตั้งจะกล้าจับกุมธัมมชโย เพราะได้สร้างอำนาจและอิทธิพลจนมีโล่มนุษย์มากพอ มีเงินมหาศาลมากพอที่จะรอดเงื้อมมือกฎหมายได้อยู่แล้ว

ยิ่งถ้าพรรคของทักษิณได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ธรรมกายและธัมมชโยก็อาจจะยิ่งสบายตัว เพราะอาจไม่มีทางพยายามจับกุมธัมมชโยเพราะถือว่าวิน-วิน ทั้งคู่

นี่คือภาพที่สะท้อนว่า อาณาจักรสงฆ์เอาตัวเองเข้ามาพัวพันแปดเปื้อนยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ส่วนการเมืองบางซีกก็เอาตัวเองมายุ่งเกี่ยวพัวพันกับสงฆ์เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งผิดหลักที่ควรจะเป็นและทำให้ศาสนาเสื่อมอย่างแท้จริง

ส่วนศิษย์ธรรมกายที่อ้างว่า อีกฝ่ายต้องการทำลายพระพุทธศาสนาด้วยการเล่นงานธัมมชโยและพระสงฆ์ฝ่ายเดียวกับธัมมชโย นั้นควรจะได้ใช้สติเพ่งพินิจว่า ลักษณะของวัดพระธรรมกายที่เน้นวัตถุมากมายอลังการใช้เงินก่อสร้างมาก

และแม้แต่คำสอนของธัมมชโยเอง คือสิ่งที่ถูกต้องตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาหรือไม่

 

พระที่เทศน์ที มักจบท้ายด้วยคำว่า จงรวย จงรวย (ซึ่งคือการเน้นกิเลส) เป็นแนวทางพุทธหรือ การบอกว่าใครทำบุญด้วยเงินจำนวนมาก จะได้ไปสวรรค์ชั้นสูงกว่าคนทำบุญด้วยเงินจำนวนน้อย ประเภทที่ว่าบริจาค 1,000 ได้แค่นั่งหน้าประตูสวรรค์ชั้นล่างสุด ถ้าอยากให้ประตูสวรรค์เปิดต้องจ่ายอีก 2,500 บาท (ไม่เป็นประชาธิปไตยเลยเพราะคนจนหมดสิทธิ์ขึ้นสวรรค์แม้แต่ชั้นล่างสุด) เป็นคำสอนที่เป็นพุทธตรงไหน

เหมือนระบบขายตรงต่างหาก

ส่วนพวกเสี่ยๆ ร่ำรวยทั้งหลายที่มีเงินบริจาคมาก อาจชอบอกชอบใจคำสอนของวัดนี้เพราะจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กระมัง เพราะมีเงินบริจาคมากกว่าคนอื่น

ขณะเดียวกัน หากศิษย์ธรรมกายมีหัวใจเปี่ยมธรรมะจริง จะต้องนึกถึงชาวบ้านหลายพันคนที่เป็นสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่ต้องสูญเสียเงินออมที่หามาตลอดชีวิตนับหมื่นล้านบาทด้วย