‘ตำนานฯ’ / เรื่องสั้น : สาทิส ไฟพิมพ์

เรื่องสั้น

สาทิส ไฟพิมพ์

 

‘ตำนานฯ’

 

เพียงตาอ่ำยื่นมือออกไปแตะปลายหน่อ หน่อไม้ก็ถอนออกจากดินอย่างง่ายดาย ปกติคนทั่วไปกว่าจะขุดได้ต้องลงเสียมหลายสิบครั้ง

“ไอ้เรื่องขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่มีใครเกินแก” ยายปลีผู้เป็นเมีย เท้าสะเอวด่าเช็ดอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะเอียงตัวบ้วนน้ำหมากทิ้ง

“มีของดีแล้วไม่ใช้ จะมีไปทำไมวะ” ตาอ่ำเถียงคอเป็นเอ็น

“ลองใครมาเห็นเข้า เอ็งจะเดือดร้อน แล้วความซวยมันจะพลอยฟ้าพลอยฝนมาถึงข้าด้วยโว้ย คิดเสียบ้างสิว้า! ไอ้ผัวเฮงซวย” เสียงยายปลีดังลั่นป่า

“ข้าไม่เห็นมีใครสักคน นี่มันกลางดงดิบนะเอ็ง แกคิดมากไปรึเปล่ายายปลี”

“ข้าหมดปัญญาจะพูดกับแกแล้วตาอ่ำ ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมละกัน” เสียงยายปลีเบาลงด้วยความอ่อนใจ

“แล้วหน่อไม้กับของป่ากองพะเนินตรงโคนไม้นู้น เอ็งจะเอาไง” ตาอ่ำชี้ไปยังของกินที่หามาได้

“ก็จัดการให้เรียบ จะแบกกลับบ้านให้มันเมื่อยตุ้มทำไมวะ”

ศีรษะของยายปลีเริ่มขยายออก แรกๆ ก็ใหญ่เท่าผลแตงโม ไม่ถึงเสี้ยววินาทีมันใหญ่เท่ากระบุง มันยังไม่หยุดขยายเพียงเท่านั้น ขยายเท่าจอมปลวกในที่สุด

ปากของแกเริ่มฉีกไปจนถึงหู ขากรรไกรหลุดออก ครั้นปากอ้าจนสุด เผยให้เห็นลิ้นขนาดใหญ่มหึมา มันค่อยๆ แลบเลื้อยออกมาจากปาก ชั่วพริบตาลิ้นใหญ่น่าเกลียดเท่าเสาบ้านตวัดผ่านกองของป่าหายวับไปครึ่งหนึ่ง

“เซอะ! อีคราวจะเขมือบ ไม่เห็นจะกลัวใครเห็น” ตาอ่ำพึมพำบ้าง

ศีรษะยายปลีหดลงมาเป็นปกติ “เอ็งบ่นอะไรวะตาอ่ำ รีบจัดการอีกครึ่งเร็วๆ เข้าเถอะ จะได้กลับบ้านกันเสียที”

 

เผ่าพันธุ์พิสดารอย่างตาอ่ำกับยายปลี อยู่มาก่อนชาวอโยธยาจะตั้งถิ่นฐานเสียอีก หลังจากจานบินร่อนลงบริเวณกลางทุ่งติดชายป่า พวกมันก็ออกมาสำรวจดินแดนใหม่ เมื่อเห็นว่าอยู่อาศัยได้ ก็เร่งตั้งรกราก เลี้ยงชีพโดยกินทุกอย่างที่ขวางหน้า! พักหลังพวกมันปรับตัว เรียนรู้การกินแบบมนุษย์เพื่อไม่ให้ดูแปลกแยก

แรกๆ ร่างกายของพวกมันดูไม่เหมือนมนุษย์มนา ตัวดำคล้ำ ผอมกะหร่องยังกะเปรต ทว่า สูงพอๆ กับคนสมัยนั้น ครั้นพวกมันพบเห็นมนุษย์ จึงแปลงกายเหมือนชาวท้องถิ่น แล้วสร้างปฏิสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์ผู้อยู่ก่อน ทำมาหากินต่อไป ลักษณะเด่นของพวกมันคือ เรียนรู้ได้เร็ว ทั้งภาษา การใช้ชีวิต และนิสัยแบบมนุษย์ พวกมันจึงอยู่ที่ไหนก็ได้ในจักรวาลนี้แบบสบายปรือ

เล่าลือกันว่าสมัยก่อตั้งอาณาจักรใหม่ พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นกระท่อมหลายสิบหลังเรียงรายอยู่ในถิ่นอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำลำคลองล้อมรอบ พระองค์ตัดสินพระทัยจะสร้างบ้านแปงเมืองขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ทว่า พระองค์ไม่ลืมถามไถ่ความสมัครใจของผู้มาอยู่ก่อน

พวกมันในร่างมนุษย์ รับรู้ได้ในทันทีว่า หากมีบ้านเมืองจัดตั้งขึ้น นั่นคือโอกาสที่จะได้เขมือบมากขึ้น พวกมันจึงยอมให้พระราชาสร้างเมือง ย้ายสำมะโนครัวออกไปอยู่ชานพระนครโดยไม่มีเงื่อนไข จริงๆ พวกมันมีวาระซ่อนเร้นต่างหาก

 

“นี่ตาอ่ำ กว่าพวกเราจะเรียนรู้ อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ ต้องใช้เวลานานโข เอ็งจะมาทำให้ความแตกด้วยการสะเพร่าไม่ดูตาม้าตาเรือ ข้าไม่ยอมนะโว้ย” ยายปลีบ่นอุบตอนออกจากป่า มุ่งหน้าสู่กระท่อมน้อย

“เอ็งคิดมากไปยายปลี ข้ามีสติรู้ตัวหรอกน่า ไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกโว้ย” ตาอ่ำพูดให้เมียรักคลายกังวล ขณะเดินตามยายปลีไปติดๆ

สองผัวเมียข้ามลำธารมาได้ไม่นานก็เห็นกระท่อมอยู่ลิบๆ มะโหนกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั่งเอกเขนกอยู่บนแคร่ใต้ต้นมะม่วงอย่างสบายอารมณ์ มะม่วงบนต้นบางลูกสุกเหลืองอร่าม ลิ้นอันยาวเหยียดของมะโหนกยื่นตวัดลัดเลาะไปตามกิ่งไม้ พอเจอลูกสุกเต็มที่ก็โอบรัด ปลิดลงมาอย่างง่ายดาย ช่างเป็นการกินอันสุขสำราญน่าอิจฉา

“กลับเสียเกือบมืดเลยนะจ๊ะ พ่อจ๋าแม่จ๋า”

“ใครจะไปสบายเหมือนเอ็งล่ะ มีของกินเหลือเฟือ ไม่ต้องระเห็จออกไปหาเอง” ยายปลีพูดค่อนขอดลูกชายซึ่งมีตำแหน่งเป็นทหารรักษาประตูเมือง

“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว ถ้าจะกินมะม่วงก็ขึ้นไปเก็บใส่ตะกร้า ตอนเขมือบไปทำหลังบ้าน หรือที่รโหฐาน ใครมาเห็นเข้ามันจะเดือดร้อนกันหมด” ยายปลีถ่มน้ำหมากทิ้ง ด้วยใจขัดเคือง

“ไม่มีใครเห็นหรอกน่าแม่ แม่ก็คิดมากไป” ไอ้มะโหนกยิ้มขันขื่น

“เอ็งกินอะไรมาแล้วหรือยังไอ้มะโหนกเอ้ย” ตาอ่ำตัดบทเปลี่ยนเรื่องคุย

“อิ่มแปล้มาเลยจ้าพ่อ วันนี้โรงเลี้ยงช้างมีกล้วยอ้อยและหญ้าตัดมาใหม่ๆ กองพะเนินเทินทึก”

“อย่าบอกนะเอ็งเผยร่างจริงตอนกินอาหารช้างกลางเพนียด” ยายปลีเอาทุกเม็ด แกไม่ไว้วางใจใครทั้งสิ้น

“แหม…ถ้าทำอย่างนั้นฉันก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่แล้วจ้าแม่” มะโหนกมันเล่าต่อ ระหว่างเฝ้าประตูข้างวังทางใต้เมื่อเช้า พระยาพลเทพ เสนาบดีจตุสดมภ์กรมนา ดูแลเกี่ยวกับการทำนาของราษฎรและทำหน้าที่หาข้าวเข้าฉางหลวงสำหรับแจกจ่ายในพระราชวังและพระนคร กลับจากทำธุระต่างเมือง ครั้นผ่านประตูที่ตนเฝ้าอยู่ ก็เกิดอาการลมตีขึ้น

พวกข้าราชบริพารวิ่งหายาดมยาหอมกันให้วุ่น เผอิญมะโหนกบอกกับพวกนั้นว่า มันรักษาคนเป็นลมได้โดยไม่ใช้ยา ด้วยความฉุกละหุก ข้าฯ คนหนึ่งของพระยา ดึงแขนมันไปนั่งข้างๆ ท่าน

“ข้าก็ใช้วิธีที่พ่อสอนนั่นแหละจ๊ะ ทำให้พระยาท่านคลายอาการเป็นลมเป็นแล้งได้” มะโหนกยิ้มกริ่ม

“เอ็งออกพิรุธอะไรให้เขาเห็นหรือเปล่า” ยายปลีทำหน้านิ่ง ไม่ไว้ใจทุกสิ่ง

“ไม่หรอกจ้าแม่ ข้าก็แค่ทำเป็นจับเนื้อจับตัวท่านเล็กน้อย ก่อนจะแอบปล่อยไอจากมือรักษา”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แล้วไปไอ้หนู” ตาอ่ำถอนหายใจด้วยความโล่งอก

มะโหนกมันยังบอกข่าวดีแก่พ่อแม่ คุณงามความดีของมันในครั้งนี้ ท่านพระยานึกชื่นชอบ (ผลข้างเคียงของไอที่มันปล่อยออกมาจากร่างกาย) ทำเรื่องขอตัวมันจากกรมวัง มาช่วยงานที่คลังหลวง

“คราวนี้แหละพ่อจ๋าแม่จ๋า ฉันจะมีของกินจนพุงกางเลยแหละ” ไอ้มะโหนกหัวเราะชอบใจ

“เอ็งก็อย่าไปตะกละตะกลามเสียจนให้ใครจับได้เสียล่ะ” ยายปลีเตือนลูกชายด้วยความเป็นห่วง

ตั้งแต่มะโหนกเปลี่ยนมาเป็นข้ารับใช้พระยาพลเทพ หน้าตาของมันผ่องใส รูปร่างอ้วนท้วน มีสง่าราศี ยิ่งอโยธยาขยายอาณาเขตออกไปได้กว้างไกลเท่าไร บรรณาการและเสบียงกรังก็หลั่งไหลเข้าสู่คลังหลวงไม่หยุดหย่อน นั่นคือลาภปากของไอ้มะโหนกมันแท้ๆ

“วันนี้จะมีข้าวเปลือกจากอินทร์บุรีและพรหมบุรีเข้ามาร้อยเล่มเกวียน เอ็งตรวจทานให้ละเอียดถี่ถ้วน อย่าให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เข้าใจไหมไอ้มะโหนก” นายกองสั่ง เหตุเพราะต้องเดินทางออกไปนอกเมือง จึงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กับลูกน้องใต้บังคับบัญชา

“ขอรับท่าน ไม่ต้องห่วง รับรองข้าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนในภายหลังเป็นแน่” แค่ได้ยินมันก็เปรี้ยวปากเต็มทน

ขบวนเกวียนบรรทุกข้าวเปลือกจากเมืองหลานหลวง ทยอยเข้าสู่เขตพระราชวัง ไอ้มะโหนกยืนเอ้เต้บังคับบัญชาเกวียนให้เคลื่อนเป็นระเบียบ ทำท่านับจำนวนอย่างตั้งใจ แท้จริงแล้วด้วยสายตาของมัน พัฒนาเหนือมนุษย์มาหลายขุม ก่อนขบวนเกวียนจะถึงเขตพระนครชั้นใน มันขึ้นไปยืนบนกำแพง ปาดตาครั้งเดียวสามารถนับเกวียนได้ทั้งสิ้นหนึ่งร้อยห้าเล่ม เกินมาห้าเล่มจากที่ท่านนายกองระบุไว้ นั่นคือลาภปากของมัน

“เกวียนห้าเล่มสุดท้าย พวกเอ็งจงนำไปจอดที่เรือนท่านนายกอง” มันสั่งพลทหารเลวสองคนที่เป็นลูกน้อง

“ขอรับ” ลูกน้องตอบอย่างพร้อมเพรียง

ครั้นถึงเวลาเลิกงาน แทนที่ไอ้มะโหนกจะรีบกลับบ้านแถวชายป่านอกเมือง มันมุ่งหน้าไปยังเรือนของนายกอง ซึ่งบัดนี้ไม่มีใครอยู่อาศัย ปกติคือบ้านประจำตำแหน่งนายกองนั่นแหละ ตัวไม่อยู่ ทุกวันต้องออกไปนอนกับเมียน้อยที่เรือนนอกกำแพงเมือง ส่วนเมียหลวงนั้นอาศัยอยู่กับลูกเต้า ณ เมืองละโว้

ด้วยความสนิทสนมกับไอ้มะโหนก นายกองจึงอนุญาตให้มันพักอาศัยในยามไม่กลับบ้าน มันถือวิสาสะทำเรื่องลับ ก็นับว่าเสี่ยงอยู่พอสมควร หากมีใครมาเห็นเข้า อาจเป็นเรื่องราวใหญ่โตเดือดร้อนไปถึงเผ่าพันธุ์วงศ์วานว่านเครือของมันด้วย

ศีรษะของมะโหนกขยายตัวใหญ่เท่าจอมปลวก ปากแสยะฉีกไปถึงหู ลิ้นขนาดมหึมายาวโผล่พ้นปาก มันพุ่งตวัดเปิดผ้าคลุมข้าวเปลือกบนเกวียนออก จากนั้นตวัดห่อข้าวบนนั้นกระชากเข้ามาสู่ปากอันเผยอกว้าง

ขณะไอ้มะโหนกเขมือบข้าวเปลือก จะเป็นโชคร้ายของมันก็มิอาจทราบได้ นายกองเจ้าของบ้านเดินอาดๆ เข้ามา ตาแกมุ่งขึ้นไปบนเรือน ตั้งใจกลับมาเอาของที่ลืมไว้ตั้งแต่เช้า เป็นเครื่องประดับจำพวกสร้อยแหวนและเพชรนิลจินดา ตั้งใจจะเอาไปเป็นของกำนัลแก่เมียน้อยนั่นเอง

ภาพไอ้มะโหนกในร่างปีศาจกำลังเขมือบข้าวบนเกวียน ทำนายกองตะลึงพรึงเพริด ความรู้สึกบอกไม่ถูก บัดนี้ขาทั้งสองข้างของนายกองแข็งทื่อก้าวไม่ออก พอตั้งสติได้แกกำฝักดาบแน่นแล้วกระโดดแผล็วลงจากเรือน ครั้นเท้าแตะพื้นก็ใส่ตีนหมาวิ่งไม่คิดชีวิต ให้พ้นบริเวณบ้านเร็วที่สุด เป็นที่น่าแปลก เรือนสูงตั้งเกือบสี่วา คนธรรมดากระโดดลงไปเส้นไม่พลิกก็ถึงขั้นขาหัก แต่นายกองกลับไม่เป็นอะไรสักกะอย่าง

“มันตัวห่าอะไรวะนั่น” นายกองพึมพำตลอดทาง วิ่งเหมือนคนเสียสติ ใส่ตีนหมาเข้าวังแบบสุดแรงเกิด

เส้นทางจากบ้านเข้าวังแม้ไม่ไกล ทว่า ต้องผ่านป่าละเมาะ นายกองขนลุกซู่ทั่วสารพางค์ร่างกาย เหลียวหน้าแลหลัง มีอาการหวาดระแวงเหมือนคนวิกลจริต

“จะรีบไปไหนละขอรับ ท่านนายกอง” ไอ้มะโหนกยืนกอดอกรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

“เมื่อตะกี้มึงยังอยู่ตรงเรือนกู ไฉนมาเร็วปานนี้ มึงวิ่งแซงกูตอนไหนวะไอ้มะโหนก” นายกองหยุดชะงัก

“หามิได้ กระผมก็ตามท่านมาแบบปกติ ท่านวิ่งวกไปวนมาจนน่าเวียนหัว กระผมเลยมารออยู่ตรงนี้” มะโหนกแสยะยิ้ม

“มึงเป็นใครกันแน่วะ ไอ้มะโหนก”

“ก็เป็นอย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละขอรับ”

นายกองชักดาบออกจากฝัก กำกระชับแน่น ทว่า มือชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“ถ้าเป็นเช่นนั้น มึงก็อย่าอยู่เลย…ไอ้ปีศาจ!” นายกองตะโกนลั่น

 

เป็นธรรมดาหากมีส่วยส่งจากหัวเมืองชั้นนอกเข้ามาในวัง นายกองผู้รับผิดชอบจะต้องเข้าไปรายงานแก่ท่านพระยาพลเทพ ในเพลาที่งานรับเข้าคลังหลวงเสร็จสิ้น

“เหตุไฉนครานี้นายกองถึงไม่มารายงานข้าด้วยตัวเอง” ท่านพระยาสอบถามมะโหนก

“นายกองมีเหตุด่วนอันสำคัญ ต้องเดินทางออกไปนอกเมืองขอรับ”

“บ๊ะ! ไอ้นี่ ยังมีเหตุสำคัญกว่างานรับผิดชอบหลักอีกรึ…กลับมาเมื่อไรกูจะสั่งลงหวายให้เข็ด เดี๋ยวเถอะมึง” ท่านพระยาพิโรธจนหน้าแดงก่ำ

นายกองหายไปนับตั้งแต่วันนั้น ไม่เคยหวนกลับเข้าวังมาอีก ท่านพระยาจำใจแต่งตั้งมะโหนกขึ้นเป็นนายกองแทน เพราะเห็นว่าเป็นคนขยันขันแข็งรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่เคยกล่าวขายนาย มีความซื่อสัตย์สุจริต

 

ผ่านมาไม่นานนักศึกพม่ารามัญก็ปะทุขึ้น พวกมันยกกองทัพไพล่พลนับแสนหมายจะมาหักเอาเมืองอโยธยาให้ได้ในคราวเดียว

หลายสมรภูมิ อโยธยาเพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้ เสบียงที่เก็บไว้ในเมืองก็เริ่มร่อยหรอจากการล้อมเมืองของข้าศึกศัตรู

“ถ้าเป็นเยี่ยงนี้ อีกไม่นานคงอดตายกันทั้งเมือง และตำแหน่งของข้าคงหลุดลอยเป็นแน่ พ่ออยู่หัวคงไม่พอพระทัยที่ข้าไม่สามารถหาเสบียงมาเลี้ยงคนและทหารได้เพียงพอ” ท่านพระยาระบายความในใจให้นายกองฟัง

“ท่านมิต้องกังวลดอกขอรับ กระผมขอกำลังคนสักห้าสิบ เพื่อปล้นเสบียงของพม่ารามัญ ครั้นเสบียงของพวกมันร่อยหรอ ก็ย่อมล้อมเมืองเรามิได้”

ทีแรกท่านพระยาไม่ค่อยเชื่อคำไอ้มะโหนกมันเท่าไร จะทำได้จริงรึ ขนาดทหารมืออาชีพเป็นร้อยเป็นพันยังมิมีปัญญาตีฝ่าทัพพม่ารามัญออกไปได้ แต่หลังจากใคร่ครวญคิดไปคิดมาหลายตลบก็ยังไม่พบหนทางอื่น ยินยอมให้มันคัดเลือกทหารตามใจชอบ หากสำเร็จท่านก็ได้ความดีความชอบไปเต็มๆ แต่ถ้าไม่ ความซวยก็คงตกเป็นของไอ้มะโหนกมันเอง

ไอ้มะโหนกได้ที มันเกณฑ์พรรคพวกเผ่าพันธุ์เขมือบได้ราวห้าถึงหกสิบตน แค่นั้นก็เพียงพอ เพราะแต่ละตนมีความสามารถเหนือมนุษย์อยู่หลายขุม พวกมันนัดประชุมวางแผนกันในจานบินที่ฝังอยู่ใต้พื้นดินบริเวณชายป่า

คืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ในการศึกแล้วฝ่ายที่จะโจมตีแบบกองโจร จะไม่เลือกเวลาแบบนี้ สุ่มเสี่ยงที่ข้าศึกศัตรูจะพบเห็นได้ง่าย ทว่า พวกไอ้มะโหนกเลือกวันท้องฟ้ามีแสงนวลแจ่ม เวลากินเสบียงจะได้ไม่งม มะงุมมะงาหราจนเกินไป

ทหารยามกองเสบียงพม่ารามัญไม่นึกสำเหนียกถึงอันตรายที่กำลังจะเข้ามาแผ้วพาน พวกมันยังแอบซดเหล้าป่า เล่าเรื่องตลกโปกฮา หัวเราะเสียงดังขรม

พื้นดินบริเวณนั้นเริ่มขยับ ก้อนกรวด ก้อนหินกระเด็นกระดอน ไม่นานร่างของเผ่าพันธุ์เขมือบทั้งหมดก็โผล่ผุดพ้นพื้นดินขึ้น ราวขอมดำดินสมัยพระร่วงไม่มีผิด

กว่าพวกยามพม่ารามัญจะรู้ตัว พวกมันก็ตกไปอยู่ในท้องของเหล่าปีศาจจอมตะกละเป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงหนึ่งหน่อ

“เฮ้ย ไอ้เขียด เอ็งถามมันเป็นภาษาพม่าสิ นอกจากกองเสบียงตรงนี้ มีที่อื่นอีกหรือไม่” มะโหนกบอกลูกน้องคนสนิทที่เคยไปอยู่เมืองตองอูหลายปี

ไอ้เขียดย่างสามขุม ไปกระชากคอเสื้อทหารพม่ารามัญคนนั้นยกขึ้นจนตีนของมันลอยจากพื้นดิน แกว่งไปมา ด้วยพละกำลังที่มีอยู่มหาศาล “พวกมึงเก็บเสบียงไว้ที่ไหนอีก”

ทหารผู้นั้นกลัวลนลานราวคนเสียสติ มันพูดจาละล่ำละลัก “อยู่บริเวณทิศเหนืออีกแห่งหนึ่งจ้า…โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด อย่าทำอะไรข้าเลย”

ไอ้เขียดไม่สนใจคำขอของมัน พลางเหวี่ยงร่างทหารผู้นั้นขึ้นบนอากาศ ลิ้นใหญ่ยาวนับสิบตวัดขึ้นไปตามร่างเคราะห์ร้าย แย่งกันฉีกทึ้งเป็นชิ้น ลงสู่กระเพาะอย่างรวดเร็ว

กองโจรปีศาจไล่เขมือบเสบียงพวกพม่ารามัญไปทีละค่ายจนร่อยหรอ สร้างความระส่ำระสายให้กองทัพอันเกรียงไกรของพระเจ้าผู้ครองกรุงหงสาไม่น้อย นอกจากนั้นยังเกิดเสียงร่ำลือกระฉ่อน พวกที่เข้าปล้นค่ายพม่ารามัญรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวดั่งปีศาจ ทำให้เหล่าไพร่พลหวาดกลัวเสียขวัญกันเป็นอันมาก ไม่นานเมื่อไร้เสบียงกรัง กองทัพที่เดินด้วยท้องก็ต้องถอยร่น

แม้จะกังขาว่ากองกำลังที่เข้าปล้นเสบียงพม่ารามัญเป็นปีศาจ ทว่า เจ้านายฝ่ายอโยธยาก็หาได้สงสัยอะไรมากนัก การชนะศัตรูด้วยวิธีการไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอเพียงให้พวกมันถอยร่นไปให้พ้นแผ่นดินเป็นพอ

แรกๆ มีพระราชโองการถามพระยาพลเทพ ว่าทหารต้นสังกัดที่ออกปล้นค่าย เป็นพวกใดกัน

ท่านพระยาก็กราบบังคมทูลว่า เป็นกลศึกของลูกน้องตนเอง จนทำให้ศัตรูเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปีศาจ ซึ่งก็ได้ผล นั่นเป็นผลดีทำให้พวกมันเสียขวัญ

 

ผลงานของพรรคพวกมะโหนกสร้างความดีความชอบแก่ท่านพระยาพลเทพยิ่งนัก

“พวกเจ้าได้ทำการอันกล้าหาญ สนองคุณแผ่นดินเหลือที่จะพรรณนา…ข้าคงไม่มีอะไรตอบแทนนอกจาก…”

ท่านพระยามอบเงินทองหลายสิบชั่งให้แก่ทหารคนอื่นๆ ที่ร่วมภารกิจปล้นสะดมกับมะโหนกในครั้งนี้ ส่วนตัวมะโหนกเองต้องเรียกว่า หนูตกถังข้าวสาร ท่านแต่งตั้งตำแหน่งให้สูงขึ้น แถมยกลูกสาวคนสุดท้องที่เกิดจากเมียคนที่สี่สิบห้าให้เป็นคู่ชีวิต…

ขบวนแห่ท่านหมื่นมะโหนก เบื้องหน้าสุดเป็นเหล่าทหารกองเกียรติยศหลายสิบ ติดตามมาติดๆ เป็นเกี้ยวหาม มีตัวมันและศรีภรรยาหน้าตาสวยจิ้มลิ้ม หุ่นแฉล้มแช่มช้อย นั่งอยู่เคียงข้าง ข้างเกี้ยวมีไอ้เขียดซึ่งตอนนี้รั้งตำแหน่งนายกองแทนมะโหนก ปิดท้ายด้วยทหารอารักขาเกือบร้อย และขบวนเกวียนขนข้าวของอีกนับสิบเล่ม เคลื่อนไปตามถนนมุ่งหน้าสู่บ้านพ่อแม่ของมัน

ชาวบ้านร้านตลาดต่างออกมายืนริมถนน ต่างไชโยโห่ร้อง ตบไม้ตบมือ ยินดีปรีดาด้วยกับมัน บางคนวิ่งตามขบวนไปส่งถึงชายป่าอันเป็นที่ตั้งของบ้านไอ้มะโหนก

ตาอ่ำกับยายปลีแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีสีสันสดใส ยืนรอรับลูกสะใภ้อย่างใจจดใจจ่ออยู่หน้ากระท่อม

“ต่อจากนี้ไป เผ่าพันธุ์ของเราจะมีผู้สืบทอดแล้วยายปลีเอ๋ย” ตาอ่ำโน้มไปกระซิบกระซาบข้างหูเมียรัก

“ต้องเร่งให้ไอ้หนูมีลูกสักโหล…ครานี้แหละเอ็งเอ๋ย เผ่าพันธุ์ของเราจะได้มีผู้สืบทอดเหลือคณานับ”

มะโหนกใช้เวลาไม่ถึงสิบปี ทำลูกได้เป็นโหลอย่างที่พ่อกับแม่มันตั้งใจไว้ แม้ว่าตาอ่ำกับยายปลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ทว่าก็นอนตายตาหลับ พวกมันได้ขยายเผ่าพันธุ์มากขึ้น และมากขึ้นทุกที บรรดาลูกๆ ของไอ้มะโหนกแยกย้ายไปสร้างครอบครัวใหม่ เหนือสุดได้ไปอยู่ถึงเชียงรุ้ง ใต้สุดนั้นก็ตรงแถวมลายู ตะวันออกสุดได้ไปอยู่ถึงอาณาจักรจามปา (เวียดนาม) ตะวันตกเกือบถึงอินเดีย

ส่วนที่หลงเหลืออยู่ในเมืองอโยธยาก็มีอยู่มิใช่น้อย การแพร่เผ่าพันธุ์ยังคงดำเนินต่อไป และไม่รู้จะจบสิ้นลงเมื่อใด…

 

เวลาปัจจุบัน…ปี 2020

“พ่อเข้าใจว่าลูกหิว แต่ลูกจะแสดงร่างที่แท้จริงให้สาธารณชนเห็นไม่ได้นะ มันอันตราย เข้าใจไหม” วิซิตเจ้าของธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของประเทศ กล่าวเตือนลูกสาววัยห้าขวบ หลังจากที่เธอเขมือบขนมกองโตในห้างสรรพสินค้าในเครือ ระหว่างเดินตามเขา ซึ่งกำลังตรวจงาน เมื่อทางการผ่อนผันให้เปิดห้างได้ เมื่อไวรัสโควิด-19 ระบาดลดลง

“ก็หนูหิวจนทนไม่ไหวแล้วนี่คะ” เด็กหญิงทำหน้ายู่ บิดตัวไปมา

“คราวหน้า ถ้าทนไม่ไหวก็ให้บอกพ่อหรือแม่ เข้าใจไหม”

“เข้าใจแล้วค่ะ…พ่อคะหนูอยากรู้ว่าพวกเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เล่าให้ฟังได้ไหมคะ”

“ได้สิจ๊ะลูก…เดี๋ยวเสร็จงานแล้วพ่อจะเล่าให้หนูฟัง หนูต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าบรรพบุรุษของเรามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเชียวนะ”

วิซิตก้มลงไปหอมแก้มลูกสาวฟอดใหญ่ ก่อนจะออกจากห้องทำงานไปประชุมผู้บริหารระดับสูง

 

เผ่าพันธุ์เขมือบวิวัฒน์ไปตามยุคสมัย พวกมันสามารถกินเหล็กหินปูน โดยวิธีการดูดพลัง ไม่ต้องกินมวลทางกายภาพก็ได้ อย่างที่เราได้พบเห็นกันอยู่ ทำไมถนนสร้างเสร็จใหม่ๆ ถึงพังเร็ว สะพานบางแห่งไม่ได้มาตรฐาน สิ่งก่อสร้างทั้งหลายเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ แม้แต่ผลผลิตทางการเกษตรอยู่ในโกดังเก็บก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย หรือไม่เช่นนั้นก็เน่าเสีย (ผลจากการดูดพลังของเผ่าพันธุ์นี้) ฯลฯ

เงินงบประมาณของประเทศ ถูกพวกมันยักยอกไปซื้อของมาเขมือบไม่น้อย การคอร์รัปชั่นเกิดจากพวกมันมาตลอดหลายร้อยปีนี้

และคงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน •