ฟ้า พูลวรลักษณ์ : วิบากกรรมมนุษย์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๕)

ถ้ามีคนไม่มีแขนไม่มีขามาหาหมอ หมอที่ยึดในตำราจะบอกกับเขาเลยว่า ในชีวิตนี้คุณจะไม่มีวันเดินได้

แต่ชีวิตที่จริงคือการต่อสู้ มีคนไม่มีแขนไม่มีขาบางคน ที่ด้วยความมุมานะ ด้วยวินัย เขาก็เดินได้ และเดินได้ดี มิหนำซ้ำเขายังว่ายน้ำได้ เล่นกีฬาได้ รวมทั้งเล่นดนตรีได้ด้วย ที่จริงเขาสามารถทำได้เกือบทุกอย่างที่คนปกติทำได้

และบางอย่างทำได้ดีกว่า

บางอย่างทำได้ถึงระดับดีที่สุด

เคยมีนักเล่นกระดานโต้คลื่นคนหนึ่ง วันหนึ่งเธอโดนฉลามกัดจนแขนขาดไปข้างหนึ่ง

เธอไม่ชอบใส่แขนปลอม เธอจึงเรียนที่จะเล่นกระดานโต้คลื่นด้วยแขนข้างเดียว และเล่นจนได้แชมป์หลายสมัย เธอเล่นเก่งมากอย่างไม่น่าเชื่อ

เธอปรับตัวจนราวกับว่า การเล่นโต้คลื่น ที่จริงควรใช้แขนข้างเดียว

ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง อายุเท่าฉัน เขาป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่ง ที่หมอบอกว่า นับต่อนี้ เขาต้องออกกำลังกายอย่างหนักทุกวัน ไม่เช่นนั้นเขาจะเสียชีวิต

ด้วยความรักตัวกลัวตาย เขาฝึกหนักในยิมทุกวัน ทุกวันนี้ร่างกายของเขากำยำ เวลาฉันเห็นเขาห้อยโหนบาร์ ฉันตกตะลึง เขาแข็งแกร่งราวกับอาร์โนลด์

เขาขับรถที่ติดป้ายว่า คนพิการ เพราะสมัยนั้นเขาเป็นคนป่วยจริงๆ ใกล้ตาย อวัยวะข้างในของเขาบางส่วนมีปัญหา

ตามวิชาการแพทย์เขาคือคนพิการ แต่วันนี้เขาเปิดประตูรถเดินออกมา ร่างกายแข็งแกร่งราวกับคนเหล็ก

ฉันไปยิมกับเขา เขาคือผู้อาวุโส ส่วนฉันคือเด็กอ่อนหัด

ฉันคบคนสม่ำเสมอ และอยากจะคบตลอดชีวิต ฉันตั้งใจแบบนั้น

แต่ก็มีปัญหา ฉันพบว่ามีเพื่อนบางคน ที่เมื่ออายุมากขึ้นแล้ว สมองไร้ความคม เหมือนมีดที่ตัดอะไรไม่ได้ เป็นกบเหลาดินสอที่เหลาอะไรไม่ได้

กลายเป็นคนเชย เงอะงะ อยู่ในโลกกึ่งจริงกึ่งฝัน คุยอะไรก็จับประเด็นไม่ได้

ในที่สุดฉันก็คบกับพวกเขาไม่ได้

ความเชยไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยี เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวกำหนด คนที่ไม่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ใดๆ เลย ไม่ใช้แม้แต่มือถือ ไม่มีแม้แต่คอมพิวเตอร์ เขารับฟังข้อมูลด้วยสื่อโบราณ เช่น วิทยุ หนังสือพิมพ์

แต่หากเขามีความคม เขาก็เท่าทันทุกสิ่ง

คนไม่มีความคมมีปัญหา เพราะพวกเขาไม่รู้ตัว ว่าไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่าผิดตรงไหน พลาดตรงไหน ฉันคุยกับเพื่อนเหล่านั้นไม่ได้ เพราะวนไปวนมา คุยไม่รู้เรื่อง ในที่สุดก็ต้องเลิกคุย ฉันเองก็มีเวลาจำกัด

คนเราเวลาชราภาพ จะสูญเสียความจำ เพื่อนของฉันบางคนเวลาเจอ จะคุยซ้ำเรื่องเดิม ถามคำถามเดิม วนไปวนมา

ทางแก้คือการอัดเทปไว้ แล้วเปิดให้เขาฟัง เขาจึงจะยอมรับว่า ทุกคำถามคำตอบนี้ ได้ถามและตอบมาหมดแล้ว

ความหลงลืม ฉันให้อภัยได้ แต่ความไม่คมนั้น ให้อภัยไม่ได้ ความคมไม่เกี่ยวกับความจำ มันคือชีวิต

ร่างกายของเราต้องการความสมดุล และนั่นมีความหมายเมื่อเราอายุมากขึ้น วิธีคิดง่ายๆ คือฉันเป็นคนว่ายน้ำ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ความเหมาะสมก็เปลี่ยนไป

เมื่อฉันอายุห้าสิบ ฉันต้องว่ายน้ำระยะไกลอาทิตย์ละครั้ง

เมื่อฉันอายุหกสิบ ฉันต้องว่ายน้ำระยะไกลอาทิตย์ละสองครั้ง

เมื่อฉันอายุเจ็ดสิบ ฉันต้องว่ายน้ำระยะไกลอาทิตย์ละสามครั้ง

เมื่อฉันอายุแปดสิบ ฉันต้องว่ายน้ำระยะไกลอาทิตย์ละสี่ครั้ง

เมื่อฉันอายุเก้าสิบ ฉันต้องใช้ชีวิตเหมือนปลา

โครงสร้างแบบนี้ เกิดจากความสมดุล คือเมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายยิ่งอ่อนแอลง จึงยิ่งต้องออกกำลังกาย เพียงเพื่อให้ร่างกายนี้สดชื่น และย้อนกลับสู่ความเป็นเยาว์วัย

มันเป็นโครงสร้างง่ายๆ และมีความทะเยอทะยานที่เรียบง่าย คืออยากแข็งแรงเหมือนปลา

วรรณกรรมล้ำลึกจริงๆ ต้องเหมือนชีวิต ที่คาดเดาไม่ได้

เหตุที่คาดเดาไม่ได้ เพราะการต่อสู้จริงๆ ขึ้นกับ

๑ เหตุการณ์ สิ่งนี้โดยตัวมันเองคาดเดาไม่ได้ เหมือนดินฟ้าอากาศ

๒ คนข้างๆ อาจหักหลัง และการเสียบมีดเข้ามาทีเดียว จากชนะกลายเป็นแพ้

๓ ตัวเองทำลายตัวเอง ความหลงผิด ความหวาดระแวงนิดเดียว ทำลายได้หมดทั้งกระบวนการ แม้จะเห็นว่าชนะอยู่แล้ว ก็กลับเป็นแพ้

ชีวิตจริงขึ้นกับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเอง เราจึงคาดเดาผลแห่งการต่อสู้ไม่ได้

หมากรุกที่เป็นเกมกระดาน เราคาดเดาผลได้ค่อนข้างมาก เพราะคนเล่นเก่งกว่ามักจะชนะ บางคนเล่นพันกระดานก็ชนะทั้งพันกระดาน

แต่หมากรุกชีวิต มีตัวแปรมากกว่านั้นมาก จนเราคาดเดาไม่ได้

มนุษย์แบ่งเป็นสองกลุ่มเท่านั้น

๑ คนที่เชื่อในวิบากกรรม

๒ คนที่ไม่เชื่อในวิบากกรรม

มองเผินๆ คนไทยเป็นชาวพุทธ คนส่วนใหญ่ได้เรียนรู้มา ได้ฟังมา คงเชื่อในวิบากกรรม แต่ในชีวิตจริงที่ฉันเห็น คนเชื่อจริงกลับมีน้อย มีเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น เก้าในสิบไม่เชื่อ

คนที่คิดว่าวิบากกรรมเป็นเรื่องของพระภิกษุ เป็นธรรม เป็นปรัชญา คือคนไม่เชื่อ

คนมองว่า สิ่งนี้คือสิ่งธรรมดารอบตัว เป็นข้าว น้ำเปล่า เนื้อหมู คือคนเชื่อ

พฤติกรรมของคนสองกลุ่มนี้จะต่างกันมาก เป็นคนละเรื่อง

เพราะมันเป็นความธรรมดา มันจึงเป็นเรื่องของทุกขณะจิต เป็นเรื่องของแต่ละวินาที

มันจึงต้องอาศัยความคม

หากอาศัยความทื่อ ทุกคนก็อ้างได้ว่า ตัวเองเชื่อในวิบากกรรม ตัวเองเป็นคนดี ทั้งที่ทำบาปมหันต์ ความทื่อนั่นเองที่พาไป

คนที่คิดว่า คนเชื่อในวิบากกรรม คือคนที่ดีเหมือนพระ เข้าใจผิด นั่นแสดงว่าคุณไม่เข้าใจอะไรเลย นั่นคือความทื่อ และนั่นคือคุณไม่เชื่อในวิบากกรรม

๑๐

เวลาฉันเจอนักธุรกิจ นายธนาคาร ที่ประสบความสำเร็จ ฉันนับถือพวกเขา แต่ฉันก็ไม่ได้อิจฉาอะไร หรือนึกอยากได้ เพราะฉันเห็นชัดเจนว่า เงินทองเหล่านั้นเป็นธุลีดิน มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนมีมากเท่าไร ก็ไม่ได้ใช้ เพราะเวลาชีวิตมีจำกัด และขอบเขตในการใช้มันบังคับไว้ คุณจะกินได้เท่าไร นอนได้เท่าไร

บางคนอาจคิดว่า มีมากเพื่อลูก แต่เพราะมีมาก ลูกๆ จึงแก่งแย่งกัน ยิ่งมีมาก ยิ่งก่อให้เกิดศึกชิงมรดก ยกเว้นว่าพ่อแม่จะสร้างความเป็นธรรมไว้อย่างชัดเจน ซึ่งมีน้อยคนทำได้

ส่วนคนไม่มีลูก จะมีญาติพยายามเอาหลานมาฝากเนื้อฝากตัว เพราะอยากได้มรดก เท่ากับเป็นการแก่งแย่งของหลาน

หากเขาไม่มีทั้งลูกและหลาน ก็จะมีคนอื่นมาฝากตัวอยู่ดี ท้ายสุดคือจะมีผู้มากินมรดกของเขา ยิ่งมีมาก ยิ่งมีคนหิวโหย

เวลาฉันเจอนักธุรกิจ นายธนาคาร ที่ประสบความสำเร็จ ฉันชื่นชมความสามารถของพวกเขา ความแหลมคม ความเฉลียวฉลาด

แต่เมื่อมองไกลออกไปอีกหน่อย ฉันเห็นชีวิตอื่นมากมาย ที่มาเกาะเกี่ยว แก่งแย่ง หิวโหย

ฉันเห็นอย่างนี้ ก็นึกไม่ออกว่า จะทึ่งไปถึงไหนได้ เพราะมันไม่ได้ไปไหน เขาทำเกือบตาย แต่ทำเพื่อคนอื่น ในนั้นอาจเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย

ในขณะที่ตัวเขาใช้ได้แค่จำกัด นอนได้ก็เพียงแค่ห้องเดียว บนเตียงขนาดพอกับร่างกายของเขา กินได้ก็เพียงพอกับขนาดของกระเพาะของเขา และอยู่ได้นาน เท่าอายุสังขาร

เรื่องทั้งหมด จึงเป็นเรื่องสนุกๆ พอขำขัน

แต่ผู้คนไม่ขำด้วย พวกเขาเอาเป็นเอาตาย ในหัวโขนเหล่านั้น

พวกเขาพร้อมจะฆ่ากัน

มันพิสูจน์อย่างแน่ชัด ว่าพวกเขาไม่เชื่อในวิบากกรรม

๑๑

คนเชื่อในวิบากกรรม ถ้าเป็นคนธรรมดา ก็จะยึดมั่นในอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นจะว่างเปล่าเกินไป เช่น ยึดมั่นในสัจจะ ในเกียรติ ในความยุติธรรม ในความรัก ฯลฯ แต่คงยากที่เขาจะยึดมั่นในทรัพย์สมบัติ เพราะทรัพย์สมบัติ เป็นสิ่งต้องห้าม

คนไม่เชื่อในวิบากกรรม มีท่วมโลก เดินชนไหล่กับฉันทุกวัน เดินสวนกับฉันทุกวัน และทุกคนจะยิ้มแย้ม บอกว่า พวกเขาเป็นคนดี