ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
‘ดีเอ็นเอ’ สำคัญตรงไหน
ทำไม ‘ผู้นำโลก’ ถึงหวงแหน?
บางครั้งเรื่องราวจากภาพยนตร์สายลับ หรือเนื้อหาลึกลับในหนังไซไฟ ที่ถูกแต่งขึ้นให้เหนือจริง ก็มีให้เราเห็นได้ในโลกแห่งความจริง โดยเฉพาะกับกระแสข่าวที่บรรดาผู้นำโลกหวั่นเกรงว่าอาจจะถูก “ต่างชาติ” เก็บข้อมูลลับส่วนตัวอย่าง “ดีเอ็นเอ” เพื่อนำไปใช้ประโยชน์
ไม่นานนักหลังจากกระแสข่าวที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เมื่อคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ มี “ส้วม” ส่วนตัวติดตั้งอยู่ในพาหนะที่ใช้โดยสาร พร้อมบอดี้การ์ดปกป้อง “อุจจาระ” ด้วยเหตุผลที่เชื่อกันว่ามาจากความกลัวว่าถูกเก็บข้อมูล “ดีเอ็นเอ” ที่อยู่ในของเสียที่ขับถ่ายออกมา
ยังมีกระแสข่าวที่ว่าผู้นำชาติตะวันตกอย่าง “โอลาฟ ชอลซ์” นายกรัฐมนตรีเยอรมนี รวมไปถึง “เอ็มมานูเอล มาครง” ประธานาธิบดีฝรังเศส ที่ปฏิเสธที่จะตรวจโควิด-19 กับทางการ “รัสเซีย” ก่อนเข้าพบประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน
ทำเอาสื่อทั่วโลกต่างตั้งข้อสังเกตว่าอาจเพราะเหตุผลเดียวกันกับผู้นำเกาหลีเหนือ คือไม่ต้องการให้ข้อมูล “ดีเอ็นเอ” ของผู้นำประเทศตกอยู่ในมือต่างชาติจากการตรวจเชื้อโควิด-19 ไม่ว่าจะด้วยวิธีการ “สวอบ” ด้วย “ชุดตรวจเอทีเค” หรือตรวจ “อาร์ทีพีซีอาร์” ที่ต้องใช้ตัวอย่างสารคัดหลังจากร่างกาย
ซึ่งสารคัดหลั่งที่ว่าเต็มไปด้วยเซลล์นับล้านๆ เซลล์ และมีดีเอ็นเออีกถึง 6 พันล้านคู่ ที่ผู้นำ “ฝรั่งเศส” และ “เยอรมนี” อาจหวั่นเกรงว่า รัสเซีย อาจนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อไป ที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศได้
เดิมในยุคสงครามเย็นขั้นตอนการตรวจสอบคัดแยกทางพันธุกรรมของบุคคลอาจใช้เวลายาวนานเป็นปีและใช้งบประมาณมหาศาล แต่ปัจจุบันสามารถทำได้อย่างง่ายๆ ด้วยเวลาไม่ถึง 1 วัน และใช้งบฯ เพียง 35,000 บาทเท่านั้น แต่คำถามก็คือ “รัสเซีย” สามารถนำ “ดีเอ็นเอ” ของผู้นำชาติตะวันตกไปทำอะไรได้บ้าง?
ศาสตราจารย์เดนิส ซินเดอร์คอมบ์ คอร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์และการแปลงผลดีเอ็นเอ มหาวิทยาลัยคิงคอลเลจ ลอนดอน ระบุว่า ดีเอ็นเอสามารถใช้ได้ตั้งแต่ระดับการจารกรรม “ดั้งเดิม” เช่น การเปิดเผยข้อมูลทางพันธุกรรมที่เสี่ยงต่ออาการป่วยต่างๆ ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว เรื่อยไปจนถึงเรื่อง “ล้ำยุค” อย่างการออกแบบอาวุธชีวภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หากรู้จีโนมทั้งหมด แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าของจีโนมดังกล่าวเป็นใคร แต่นักวิทยาศาสตร์ก็จะสามารถรู้ได้ว่าเจ้าของจีนโนมนั้นเป็นใครได้ และเรื่องนี้ดูจะเป็นไปได้มากขึ้นเมื่อมีเว็บไซต์อย่าง ancestry.com ที่มีคนหลายล้านคนที่สมัครใจที่จะ “อัพโหลด” ข้อมูลพันธุกรรม ที่ได้จากชุดตรวจน้ำลายด้วยตัวเองที่บ้าน โดยส่วนใหญ่ทำไปเพื่อหวังที่จะพบกับ “ญาติ” ที่ขาดการติดต่อหรือหาต้นตอเชื้อสายบรรพบุรุษของตัวเอง และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลทางพันธุกรรมขนาดใหญ่ระดับโลกที่ถูกใช้เทียบเคียงได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้หน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐต้องเก็บผ้าปูที่นอน แก้วน้ำ และสิ่งของอื่นๆ ที่ประธานาธิบดีสัมผัสขณะเดินทางไปต่างถิ่นเพื่อป้องกันไม่ให้ดีเอ็นเอของประธานาธิบดีสหรัฐตกไปอยู่ในมือศัตรู
นอกจากนี้ ยังเคยเกิดคดีความในประเทศอังกฤษเมื่อปี 2002 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเบาะแสว่ามีคนร้ายพยายามขโมยเส้นผมของ “เจ้าชายแฮร์รี” แห่งราชวงศ์อังกฤษเพื่อหวังจะพิสูจน์ข่าวลือผิดๆ ที่ว่าเจ้าชายแฮร์รีไม่ได้เป็นลูกชายของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ข้อมูลดีเอ็นเอของผู้นำประเทศอาจถูกนำมาใช้วิเคราะห์ “จุดอ่อนด้านสุขภาพ” เช่นอาการป่วยจากพันธุกรรมบางอย่าง รวมไปถึงสามารถบอกได้ถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าของดีเอ็นเอ จะมีอาการป่วยในอนาคต เช่น โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคหัวใจ
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่ากลัวกว่านั้นอย่างการผลิตอาวุธชีวภาพเฉพาะบุคคล ที่เป็นอาวุธที่ใช้สำหรับการสังหารใครบางคนเป็นการเฉพาะนั้น
ศาสตราจารย์คอร์ตระบุว่า เวลานี้มนุษย์ก็มีเทคโนโลยีทางวิศวกรรมเคมีที่สามารถสร้างปฏิกิริยากับลำดับดีเอ็นเอเป็นการเฉพาะได้แล้ว เช่น สเปรย์ที่ฉีดสารเคมีที่ทำให้เกิดสารสะท้อนแสงใน “สถานที่เกิดเหตุอาชญากรรม” ที่ทำปฏิกิริยากับเลือดและสารคัดหลั่งของมนุษย์ได้
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่จะสร้างอาวุธเคมีสำหรับสังหารบุคคลเป็นการเฉพาะนั้น “ยังเป็นไปไม่ได้ในเวลานี้”
อย่างไรก็ตาม บทความขึ้นปกในวารสาร เดอะแอตแลนติก เมื่อปี 2012 ร่วมเขียนโดยแอนดรูว์ เฮสเซล นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์ สังคมและนโยบาย มหาวิทยาลัยออตตาวา พาดหัวเอาไว้ว่า สหรัฐอเมริกาแอบเก็บดีเอ็นเอของผู้นำโลกไว้หลายคน
และทำนายอนาคตเอาไว้ว่า ในอนาคตอีกไม่ไกล “แฮ็กเกอร์พันธุกรรมจะสามารถสร้างไวรัสที่ออกแบบมาเพื่อฆ่าคนเพียงคนเดียว” ซึ่งนั่นดูจะเป็นไปได้มากขึ้นเมื่อมองไปถึงเทคโนโลยีการพัฒนายาเฉพาะบุคคลเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในทางกลับกัน
อย่างไรก็ตาม หากมองมาที่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังคงเชื่อว่า การสร้างอาวุธชีวภาพนั้นยังคงอยู่ห่างไกลความจริง การเก็บข้อมูลดีเอ็นเออาจทำได้แค่ “นำไปประกาศประมูลขาย” แบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มนิรนามที่เรียกตัวเองว่า “เอร์เนสต์ โปรเจ็กต์” ที่อ้างว่าจะนำดีเอ็นเอของผู้นำโลกจำนวนหนึ่งที่ร่วมประชุมสุดยอดผู้นำที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อหลายปีก่อน ออกประมูลเพื่อแสดงออกทางการเมือง แสดงให้เห็นความชั่วร้ายของ “ทุนนิยมสอดแนม”
หรือที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือการการสร้างข่าวดิสเครดิต เช่น “ท่านผู้นำมีความเสี่ยงเป็นความดันโลหิตสูง” เท่านั้น แต่ไม่สามารถนำไปใช้ฆ่าใครได้อย่างแน่นอน
“ดีเอ็นเอไม่ใช่เวทมนตร์ มันจะให้ข้อมูลบางอย่างกับคุณ แต่มันไม่สามารถบอกคุณได้ว่าคุณจะลอบสังหารใครได้อย่างไร” จอร์จ แอนนาส นักชีววิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวทางพันธุกรรม จากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา ระบุ
จากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นก็พอจะสรุปได้ว่า การได้ข้อมูลดีเอ็นเอของผู้นำประเทศไปนั้นอาจทำได้เพียงการสร้างขาวฉาวที่อาจทำให้อับอายได้เท่านั้น ข้อมูลพันธุกรรมจากดีเอ็นเอไม่สามารถนำไปสร้างผลกระทบร้ายแรงอย่างการทำอาวุธชีวิตภาพ ไม่ต้องพูดถึงการ “โคลนนิ่ง” ผู้นำประเทศอีกคนหนึ่งขึ้นมาก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
และนั่นก็เป็นคำถามกลับไปเช่นกันว่า “รัสเซีย” จะเก็บข้อมูลของผู้นำประเทศเพื่อสิ่งที่เป็นไปได้เหล่านี้หรือไม่เท่านั้นเอง