‘ดีเอ็นเอ’ สำคัญตรงไหน ทำไม ‘ผู้นำโลก’ ถึงหวงแหน?/บทความต่างประเทศ

FILE - Russian President Vladimir Putin, left, listens to French President Emmanuel Macron during their meeting in the Kremlin in Moscow, Russia, Feb. 7, 2022. With Russia carrying out a massive military buildup near Ukraine and the West roundly rejecting Moscow’s security demands, a window for diplomacy in the crisis appears to be closing. But even as Moscow continues to bolster its forces and holds sweeping war games, President Vladimir Putin is keeping the window open for more negotiations in a calculated game of brinkmanship intended to persuade Washington and its allies to accept Russia's demands. (Sputnik, Kremlin Pool Photo via AP, File)

บทความต่างประเทศ

 

‘ดีเอ็นเอ’ สำคัญตรงไหน

ทำไม ‘ผู้นำโลก’ ถึงหวงแหน?

บางครั้งเรื่องราวจากภาพยนตร์สายลับ หรือเนื้อหาลึกลับในหนังไซไฟ ที่ถูกแต่งขึ้นให้เหนือจริง ก็มีให้เราเห็นได้ในโลกแห่งความจริง โดยเฉพาะกับกระแสข่าวที่บรรดาผู้นำโลกหวั่นเกรงว่าอาจจะถูก “ต่างชาติ” เก็บข้อมูลลับส่วนตัวอย่าง “ดีเอ็นเอ” เพื่อนำไปใช้ประโยชน์

ไม่นานนักหลังจากกระแสข่าวที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เมื่อคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ มี “ส้วม” ส่วนตัวติดตั้งอยู่ในพาหนะที่ใช้โดยสาร พร้อมบอดี้การ์ดปกป้อง “อุจจาระ” ด้วยเหตุผลที่เชื่อกันว่ามาจากความกลัวว่าถูกเก็บข้อมูล “ดีเอ็นเอ” ที่อยู่ในของเสียที่ขับถ่ายออกมา

ยังมีกระแสข่าวที่ว่าผู้นำชาติตะวันตกอย่าง “โอลาฟ ชอลซ์” นายกรัฐมนตรีเยอรมนี รวมไปถึง “เอ็มมานูเอล มาครง” ประธานาธิบดีฝรังเศส ที่ปฏิเสธที่จะตรวจโควิด-19 กับทางการ “รัสเซีย” ก่อนเข้าพบประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน

ทำเอาสื่อทั่วโลกต่างตั้งข้อสังเกตว่าอาจเพราะเหตุผลเดียวกันกับผู้นำเกาหลีเหนือ คือไม่ต้องการให้ข้อมูล “ดีเอ็นเอ” ของผู้นำประเทศตกอยู่ในมือต่างชาติจากการตรวจเชื้อโควิด-19 ไม่ว่าจะด้วยวิธีการ “สวอบ” ด้วย “ชุดตรวจเอทีเค” หรือตรวจ “อาร์ทีพีซีอาร์” ที่ต้องใช้ตัวอย่างสารคัดหลังจากร่างกาย

ซึ่งสารคัดหลั่งที่ว่าเต็มไปด้วยเซลล์นับล้านๆ เซลล์ และมีดีเอ็นเออีกถึง 6 พันล้านคู่ ที่ผู้นำ “ฝรั่งเศส” และ “เยอรมนี” อาจหวั่นเกรงว่า รัสเซีย อาจนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อไป ที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศได้

 

เดิมในยุคสงครามเย็นขั้นตอนการตรวจสอบคัดแยกทางพันธุกรรมของบุคคลอาจใช้เวลายาวนานเป็นปีและใช้งบประมาณมหาศาล แต่ปัจจุบันสามารถทำได้อย่างง่ายๆ ด้วยเวลาไม่ถึง 1 วัน และใช้งบฯ เพียง 35,000 บาทเท่านั้น แต่คำถามก็คือ “รัสเซีย” สามารถนำ “ดีเอ็นเอ” ของผู้นำชาติตะวันตกไปทำอะไรได้บ้าง?

ศาสตราจารย์เดนิส ซินเดอร์คอมบ์ คอร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์และการแปลงผลดีเอ็นเอ มหาวิทยาลัยคิงคอลเลจ ลอนดอน ระบุว่า ดีเอ็นเอสามารถใช้ได้ตั้งแต่ระดับการจารกรรม “ดั้งเดิม” เช่น การเปิดเผยข้อมูลทางพันธุกรรมที่เสี่ยงต่ออาการป่วยต่างๆ ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว เรื่อยไปจนถึงเรื่อง “ล้ำยุค” อย่างการออกแบบอาวุธชีวภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หากรู้จีโนมทั้งหมด แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าของจีโนมดังกล่าวเป็นใคร แต่นักวิทยาศาสตร์ก็จะสามารถรู้ได้ว่าเจ้าของจีนโนมนั้นเป็นใครได้ และเรื่องนี้ดูจะเป็นไปได้มากขึ้นเมื่อมีเว็บไซต์อย่าง ancestry.com ที่มีคนหลายล้านคนที่สมัครใจที่จะ “อัพโหลด” ข้อมูลพันธุกรรม ที่ได้จากชุดตรวจน้ำลายด้วยตัวเองที่บ้าน โดยส่วนใหญ่ทำไปเพื่อหวังที่จะพบกับ “ญาติ” ที่ขาดการติดต่อหรือหาต้นตอเชื้อสายบรรพบุรุษของตัวเอง และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลทางพันธุกรรมขนาดใหญ่ระดับโลกที่ถูกใช้เทียบเคียงได้

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้หน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐต้องเก็บผ้าปูที่นอน แก้วน้ำ และสิ่งของอื่นๆ ที่ประธานาธิบดีสัมผัสขณะเดินทางไปต่างถิ่นเพื่อป้องกันไม่ให้ดีเอ็นเอของประธานาธิบดีสหรัฐตกไปอยู่ในมือศัตรู

นอกจากนี้ ยังเคยเกิดคดีความในประเทศอังกฤษเมื่อปี 2002 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเบาะแสว่ามีคนร้ายพยายามขโมยเส้นผมของ “เจ้าชายแฮร์รี” แห่งราชวงศ์อังกฤษเพื่อหวังจะพิสูจน์ข่าวลือผิดๆ ที่ว่าเจ้าชายแฮร์รีไม่ได้เป็นลูกชายของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ข้อมูลดีเอ็นเอของผู้นำประเทศอาจถูกนำมาใช้วิเคราะห์ “จุดอ่อนด้านสุขภาพ” เช่นอาการป่วยจากพันธุกรรมบางอย่าง รวมไปถึงสามารถบอกได้ถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าของดีเอ็นเอ จะมีอาการป่วยในอนาคต เช่น โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคหัวใจ

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่ากลัวกว่านั้นอย่างการผลิตอาวุธชีวภาพเฉพาะบุคคล ที่เป็นอาวุธที่ใช้สำหรับการสังหารใครบางคนเป็นการเฉพาะนั้น

ศาสตราจารย์คอร์ตระบุว่า เวลานี้มนุษย์ก็มีเทคโนโลยีทางวิศวกรรมเคมีที่สามารถสร้างปฏิกิริยากับลำดับดีเอ็นเอเป็นการเฉพาะได้แล้ว เช่น สเปรย์ที่ฉีดสารเคมีที่ทำให้เกิดสารสะท้อนแสงใน “สถานที่เกิดเหตุอาชญากรรม” ที่ทำปฏิกิริยากับเลือดและสารคัดหลั่งของมนุษย์ได้

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่จะสร้างอาวุธเคมีสำหรับสังหารบุคคลเป็นการเฉพาะนั้น “ยังเป็นไปไม่ได้ในเวลานี้”

อย่างไรก็ตาม บทความขึ้นปกในวารสาร เดอะแอตแลนติก เมื่อปี 2012 ร่วมเขียนโดยแอนดรูว์ เฮสเซล นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์ สังคมและนโยบาย มหาวิทยาลัยออตตาวา พาดหัวเอาไว้ว่า สหรัฐอเมริกาแอบเก็บดีเอ็นเอของผู้นำโลกไว้หลายคน

และทำนายอนาคตเอาไว้ว่า ในอนาคตอีกไม่ไกล “แฮ็กเกอร์พันธุกรรมจะสามารถสร้างไวรัสที่ออกแบบมาเพื่อฆ่าคนเพียงคนเดียว” ซึ่งนั่นดูจะเป็นไปได้มากขึ้นเมื่อมองไปถึงเทคโนโลยีการพัฒนายาเฉพาะบุคคลเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในทางกลับกัน

 

อย่างไรก็ตาม หากมองมาที่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังคงเชื่อว่า การสร้างอาวุธชีวภาพนั้นยังคงอยู่ห่างไกลความจริง การเก็บข้อมูลดีเอ็นเออาจทำได้แค่ “นำไปประกาศประมูลขาย” แบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มนิรนามที่เรียกตัวเองว่า “เอร์เนสต์ โปรเจ็กต์” ที่อ้างว่าจะนำดีเอ็นเอของผู้นำโลกจำนวนหนึ่งที่ร่วมประชุมสุดยอดผู้นำที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อหลายปีก่อน ออกประมูลเพื่อแสดงออกทางการเมือง แสดงให้เห็นความชั่วร้ายของ “ทุนนิยมสอดแนม”

หรือที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือการการสร้างข่าวดิสเครดิต เช่น “ท่านผู้นำมีความเสี่ยงเป็นความดันโลหิตสูง” เท่านั้น แต่ไม่สามารถนำไปใช้ฆ่าใครได้อย่างแน่นอน

“ดีเอ็นเอไม่ใช่เวทมนตร์ มันจะให้ข้อมูลบางอย่างกับคุณ แต่มันไม่สามารถบอกคุณได้ว่าคุณจะลอบสังหารใครได้อย่างไร” จอร์จ แอนนาส นักชีววิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวทางพันธุกรรม จากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา ระบุ

จากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นก็พอจะสรุปได้ว่า การได้ข้อมูลดีเอ็นเอของผู้นำประเทศไปนั้นอาจทำได้เพียงการสร้างขาวฉาวที่อาจทำให้อับอายได้เท่านั้น ข้อมูลพันธุกรรมจากดีเอ็นเอไม่สามารถนำไปสร้างผลกระทบร้ายแรงอย่างการทำอาวุธชีวิตภาพ ไม่ต้องพูดถึงการ “โคลนนิ่ง” ผู้นำประเทศอีกคนหนึ่งขึ้นมาก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เช่นกัน

และนั่นก็เป็นคำถามกลับไปเช่นกันว่า “รัสเซีย” จะเก็บข้อมูลของผู้นำประเทศเพื่อสิ่งที่เป็นไปได้เหล่านี้หรือไม่เท่านั้นเอง