การ์ดวาเลนไทน์ / เรื่องสั้น : ภาตา

เรื่องสั้น

ภาตา

 

การ์ดวาเลนไทน์

 

ใกล้ถึงวันวาเลนไทน์อีกแล้ว รันไม่เคยตื่นเต้นกับเทศกาลนี้ นอกจากนึกถึงการ์ดวาเลนไทน์ใบนั้นเพียงใบเดียว แต่มันก็หายไปตอนบ้านไฟไหม้หลังจากที่รันเก็บทะนุถนอมและรักษามาอย่างดีราวสิบปี ยามว่างก็เอาออกมาดูอยู่บ่อยๆ นึกถึงคนส่งการ์ดใบนี้มาทางไปรษณีย์ แม้การ์ดใบนั้นจะหายไป แต่มันก็ยังคงอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม

ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม รันเห็นเพื่อนๆ ตื่นเต้นและตื่นตัวกับเทศกาลวาเลนไทน์กันเสียจริง รันเรียนโรงเรียนชายล้วน หนุ่มวัยกระเตาะจะคอยจ้องมองสาวๆ โรงเรียนใกล้ๆ เด็กหนุ่มเริ่มสนใจเพศตรงข้าม อยากไปเที่ยวโรงเรียนของสาวๆ แล้วมาเล่ากันสนุกสนานว่าชอบคนนั้นชอบคนนี้ แต่รันก็ไม่เคยใส่ใจในเรื่องที่เพื่อนๆ พูดถึงอย่างคะนองปากและยิ้มแย้มอย่างมีความสุขตามประสาเด็กหนุ่มวัยรักแรก

เพื่อนๆ ต่างบอกว่าวันวาเลนไทน์เป็นเทศกาลแห่งความรัก เขาจะได้แสดงความรักความปรารถนากับหญิงสาวที่พึงพอใจ บ้างก็ซื้อหาการ์ดหรือบัตรอวยพรวาเลนไทน์พร้อมจะส่งให้คนที่ชอบ บ้างก็เตรียมดอกกุหลาบแดงสื่อแทนความในใจถึงหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ทั้งๆ ที่วันนั้นดอกกุหลาบแพงกว่าวันอื่นๆ เพื่อนหลายคนยอมเจียดเงินค่าขนมไปซื้อดอกกุหลาบให้สาว

ชั่วโมงภาษาอังกฤษอาจารย์อธิบายว่า จริงๆ วันวาเลนไทน์ไม่ใช่เทศกาลแห่งความรักของหญิงชายอย่างที่ทุกคนปักใจและหลงเชื่อมานมนาน แต่เป็นเทศกาลของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกที่นักบวชชื่อวาเลนไทน์คอยแอบจัดงานแต่งงานให้คู่บ่าวสาว เพราะกษัตริย์โรมันห้ามการแต่งงาน จะให้ผู้ชายเข้ากองทัพออกรบทำศึกสงคราม แต่นักบวชก็แอบทำพิธีแต่งงานเงียบๆ ให้ แล้วถูกจับได้เอาไปขังจนเสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์

จากนั้นอาจารย์ก็ให้นักเรียนทำการ์ดวาเลนไทน์เพื่อเก็บคะแนนสะสม รันไม่มีฝีมือทางด้านศิลปะ การ์ดที่ทำออกมาจึงไม่สวยอย่างเพื่อนๆ รันถนัดเรียนด้านภาษาและสายสังคมศาสตร์มากกว่าวิชาอื่นๆ ทำการ์ดเสร็จไม่รู้จะส่งให้ใคร ไม่มีคนที่รันอยากให้

และรันก็ไม่เคยได้รับการ์ดวาเลนไทน์จากใครเช่นกัน

 

จนเรียนจบชั้นมัธยม รันสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ดังใจหวัง ทั้งมุ่งมั่นจะเรียนภาษายุโรปเป็นวิชาเอก ซึ่งรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จะอดทนสู้เรียนจบให้ได้

ปลายภาคของการเป็นนักศึกษาปีที่หนึ่งรันต้องไปอบรมทหารรักษาดินแดน หรือ “ร.ด.” ที่เขาชนไก่จังหวัดกาญจนบุรี ตอนเรียนมัธยมปลายสองปีสุดท้ายรันต้องแต่งชุด ร.ด.ไปเรียนการทหาร ใจจริงไม่ได้ชอบใส่ชุดทหารฝึกหัดอย่างนั้น หากจะสารภาพจากส่วนลึกๆ ในใจ รันเรียน ร.ด.เพื่อต่อไปวันข้างหน้าจะได้ไปต้องไปเป็นทหาร ยอมฝึกสามปีขณะที่ยังเรียนหนังสืออยู่จะดีกว่า และไม่น่าจะลำบากเท่าทหารเกณฑ์ที่ต้องฝึกหนักอย่างจริงจังถึงสองปี รันไม่เข้มแข็งหรือแกร่งพอ

หนึ่งสัปดาห์ต้องฝึกหนักกว่าที่เรียนในค่ายที่เมืองหลวง ช่างหนักหนาเอาการอยู่สำหรับรัน นอนในเต็นท์ การกินไม่ต้องพูดถึง ไม่มีความเอร็ดอร่อยให้ลิ้มรสเหมือนอยู่บ้าน รันได้แต่ท่องคำว่าอดทนตลอดเวลายามที่เหนื่อยล้าและอึดอัด คิดว่าอีกไม่นานก็จะผ่านพ้นไป ปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวตะวันก็ขึ้น…สายๆ ตะวันก็ลาลับฟ้า

ทุกคนมีสิทธิ์เลือกหยุดได้หนึ่งวัน ครูฝึกบอกว่าถ้าสู้ไม่ไหวก็พักได้ รันเลือกวันที่ฝึกหนักเป็นวันหยุด ไม่เพียงแต่รัน ยังมีคนที่คิดเหมือนกันได้แต่จ้องหน้ามองกันไปมา และเย็นนั้นพวกที่ไม่ออกไปฝึกหนักจะรับผิดชอบการเสิร์ฟอาหารให้เพื่อนๆ ร่วมกองร้อย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย กองร้อยที่รันไปร่วมฝึกมารวมกันถึงสามสถาบัน มีธรรมศาสตร์ ประสานมิตรและมหิดล บางคนเป็นเพื่อนเรียนมัธยมก็มาเจอกันในการฝึกครั้งนี้ด้วย

แล้วก็ถึงคืนสุดท้ายของการฝึก รันยอมรับว่าเหนื่อยล้า คิดถึงบ้านทุกวัน อยากกลับไปนอนที่บ้าน อยากอาบน้ำให้หนำใจเพราะอยู่ในค่ายอาบตามจังหวะนกหวีดของคนคุม มันไม่สะอาดเนื้อสะอาดตัวเหมือนอยู่บ้าน คืนนั้นรันรู้ตัวว่าไม่สบาย มีไข้อ่อนๆ แล้วมีอาการไออีกด้วย

รันนั่งกินข้าวเย็นมื้อสุดท้ายใต้ต้นไม้ มีคนอื่นๆ นั่งห่างออกไป เสียงไอของรันทำให้เพื่อนร่วมกองร้อยที่ไม่รู้จักคุ้นหน้าเดินเข้ามาหา เขาทักด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ไม่สบายเหรอครับ” เขายิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“ครับ” รันพยักหน้า

“รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมมา” เขาก้าวเท้ายาวๆ เดินหายไป

อาจเป็นเพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงระหว่างช่วงกลางวันที่ร้อนจัด พอตกค่ำอากาศก็เริ่มเย็น รันลืมยาที่เตรียมมาก่อนเดินทางไว้ที่บ้าน ยอมรับตัวเองสะเพร่า หากไปรบจริงๆ มีหวังถูกข้าศึกยิงตายตั้งแต่ต้นเป็นแน่ ทำอะไรไม่เคยพร้อมเหมือนคนอื่นๆ

เขากลับมาพร้อมกับยาและขวดน้ำ แล้วส่งให้รันที่รู้สึกงงๆ ทำอะไรไม่ถูก รันมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ไม่เคยเป็นเพื่อน แต่เขาช่างมีน้ำใจ

“กินยานี่ซะ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นจะรู้สึกดีขึ้น” น้ำเสียงมีแววห่วงใย เขาอมยิ้มตรงมุมปากเหมือนอ่านใจรันได้และรับรู้ความสงสัยที่อยู่ในใจของรันได้

คนแปลกหน้าที่เริ่มต้นผูกมิตรไมตรียิ้มให้รันอีก นัยน์ตาของเขาพลอยยิ้มให้ด้วย ตัวเขาสูงกว่ารันสมกับเป็นผู้ชายอกสามศอก ท่าทางทะมัดทะแมง

“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะครับ” น้ำเสียงของเขาทุ้มฟังดูอบอุ่น ช่วยคลายให้รันผ่อนคลาย “ผมเห็นคุณมาหลายวันแล้ว วิ่งแทบจะรั้งท้าย วันแรกคุณปีนเชือกข้ามคลองก็ตกลงน้ำจนเปียกไปทั้งตัว แล้วยังคืนนี้ที่ตักข้าวให้ผมอีก” เขายิ้มให้รันอีก มันเป็นรอยยิ้มที่สว่างพรายในค่ำคืนนั้น

รันแทบจะไม่พูดอะไร เขาเป็นฝ่ายที่พูดต่อ คงไม่อยากให้รันรู้สึกเก้อ เขาจ้องมองที่ป้ายชื่อตรงหน้าอกอย่างสนใจ

“ชื่อนิรันดร์หรือครับ ผมชื่อศาสตรา เพื่อนๆ เรียกผมว่าตา” เขาแนะนำตัว

“ใครๆ ก็เรียกผมว่ารันตามคำท้ายชื่อ”

“ผมเรียนคณะเทคนิคการแพทย์ แล้วรันเรียนคณะไหน” เขาสังเกตป้ายชื่อมหาวิทยาลัยตรงไหล่ของรัน สมัยนั้นสถาบันที่รันเรียนไม่มีคณะแพทย์หรือวิศวะอย่างในทุกวันนี้ คณะเศรษฐศาสตร์และคณะบัญชีมีชื่อเสียงที่หลายคนอยากสอบเข้าไปเรียน รันเรียนคณะเล็กๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาของคนที่เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์ บางคนได้ยินชื่อคณะยังนึกดูถูกก็มีถมไป

“ผมเรียนคณะเล็กๆ เป็นของพวกเด็กเรียนสายศิลป์ภาษาและศิลป์คำนวณสอบเข้าไป ชื่อคณะศิลปศาสตร์” รันพูดเสียงเบา และรู้สึกตัวจะลีบเล็กไปด้วยกับคำพูดของตัวเอง

“ผมเคยไปที่คณะของรัน ใกล้ท่าพระจันทร์มากที่สุด มีเรือข้ามฟากไปโรงพยาบาลศิริราช ที่คณะมีรูปปั้นจิ๊งหน่อง หน้าคณะมีปากฉลามและต้นโพธิ์ เวลาเขานัดพบกัน จะนัดกันที่ลานโพธิ์” เสียงเขาเข้มดูเหมาะสมอยู่ในชุดทหารกล้า

รันแอบดีใจที่อย่างน้อยเขายังรู้จักคณะที่รันเรียนอยู่ เขาอาจไปชอบสาวๆ ที่คณะก็ได้ เพราะคณะที่รันเรียนอยู่มีแต่ผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ตอนปีหนึ่งเทอมแรกมีแข่งขันกีฬากระชับมิตรน้องใหม่ระหว่างคณะ พอจะแข่งฟุตบอล ต้องหาผู้ชายกันให้วุ่น รันหลบเพราะไม่ชอบเตะบอล ศาสตราอาจเหมือนผู้ชายคณะอื่นๆ ที่มุ่งหน้ามามองสาวๆ กันอยู่ทุกวัน

“พรุ่งนี้เช้าก่อนขึ้นรถบัสกลับบ้าน มาเจอกันตรงนี้อีกได้มั้ย” น้ำเสียงของเขาอ้อนนิดๆ พลางส่งรอยยิ้มพราวที่รันชักจะชอบมอง ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบอย่างคนอนามัยดี

 

วันรุ่งขึ้นรันตรงไปยังจุดนัดพบ ศาสตรายืนรออยู่ก่อนแล้ว

“ผมคิดว่ารันจะไม่มาเสียแล้ว”

“นัดแล้วต้องมาสิครับ” รันยิ้มให้เขาบ้างทั้งๆ ที่เป็นคนยิ้มไม่เก่ง เพื่อนๆ บอกว่าใบหน้าของรันไม่รับแขก ไม่ค่อยยิ้มเอาเสียเลย

“อาการที่ไม่ค่อยสบายดีขึ้นหรือยัง” เขาถามด้วยความห่วงใย

“ดีขึ้นบ้างแล้วครับ ขอบคุณมากสำหรับยาเมื่อคืนนี้”

“ผมดีใจที่ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นอีกคน ว่างๆ ผมจะไปหารันที่คณะ” เขาพูดเหมือนหยั่งเชิง

“ยินดีต้อนรับครับ” รันก้มหัวให้ “ผมก็ดีใจที่ได้คุณเป็นเพื่อนอีกคน”

แล้วต่างก็จากกันไปในวันนั้น ว่างๆ รันยังนึกถึงศาสตรา นึกถึงน้ำเสียงทุ้มอบอุ่น นึกถึงรอยยิ้มสว่างไสว นึกถึงความมีน้ำใจอันงดงามของเขา

 

วันเวลาผ่านไปสักพักใหญ่จนเกือบจะลืมมิตรใหม่ไป แล้ววันนั้นเอง…วันวาเลนไทน์ เพื่อนกลุ่มเดียวกับรันที่มาจากต่างจังหวัดบอกรันว่ามีจดหมายมาถึง รันตรงไปที่ฝ่ายบริการของคณะ จดหมายวางเรียงอยู่ในตะกร้า รันพลิกจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า แล้วก็พบซองจดหมายที่จ่าหน้าถึงรัน

รันนึกแปลกใจว่าใครจะส่งจดหมายมาถึง รันไม่เคยให้ที่อยู่ของคณะ หากมีจดหมายจะส่งตรงไปที่บ้าน มองข้างหลังซองเป็นชื่อของผู้ส่ง เป็นจดหมายของศาสตรานั่นเอง เขาทำให้รันแปลกใจระคนดีใจจนบอกไม่ถูก ภาพผู้ชายตัวสูง ผิวสีเข้มกับรอยยิ้มเด่นกระจ่างขึ้นมาในใจของรันทันที

รันรีบเปิดซองจดหมายออก เป็นการ์ดวาเลนไทน์ที่ศาสตราทำเองกับมือ เขาไม่ได้ไปซื้อหาตามร้านทั่วไป กระดาษสีชมพูตัดเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า วาดรูปดอกกุหลาบสีแดง ข้างใต้เป็นรูปหัวใจสองดวงเกี่ยวคล้องกันไว้ และมีคำเขียนสั้นๆ ว่า “สำหรับรัน”

หัวใจของรันลิงโลดปรีดาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มองการ์ดใบนั้นด้วยดวงใจอิ่มเอม มีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แนบมาด้วย รันรีบอ่านข้อความนั้นทันที

“นี่คือเบอร์โทรศัพท์หอพักที่ผมพักอยู่ ช่วยโทร.หาผมตอนค่ำๆ ได้ไหมครับ”

รันแทบจะรอให้ถึงตอนค่ำไม่ไหว อยากโทร.ไปหาศาสตราเสียเดี๋ยวนั้น

บ้านรันไม่มีโทรศัพท์ ต้องอาศัยโทรศัพท์สาธารณะ หยดเหรียญหนึ่งบาท คนรับสายบอกขื่อหอพัก รันบอกขอพูดกับศาสตรา รอสักพักเสียงคุ้นหูก็ดังมาตามสาย

“ขอบคุณมากที่โทร.มา ผมนึกว่ารันจะไม่โทร.มาแล้ว”

“โทร.สิครับ ผมขอขอบคุณสำหรับการ์ดวาเลนไทน์ด้วย”

“วันอังคารหน้าผมจะไปหารันที่คณะตอนเที่ยงได้มั้ย แล้วเราไปกินข้าวด้วยกัน” น้ำเสียงยังมีแววอ้อนเหมือนเดิม

“ครับ ด้วยความยินดี”

“เราเจอกันที่ลานโพธิ์นะครับ”

 

ศาสตามาหารันที่คณะตรงลานโพธิ์ตามที่นัดไว้ แล้วก็พากันเดินมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารใกล้สะพานปิ่นเกล้า มิตรภาพออกดอกเบ่งบานทุกย่างก้าว

“ผมชอบกินข้าวในโรงอาหารของมหา’ลัย เพราะราคาถูก ผมเป็นเด็กบ้านนอก ที่บ้านไม่มีเงินมากมาย ผมต้องใช้เงินอย่างประหยัด” ศาสตราพูดขึ้น

บ้านของรันไม่ได้มีฐานะเหมือนกัน พ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ยังส่งลูกเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย รันรู้ว่าพ่อกับแม่ต้องเหนื่อยไม่น้อย รันจึงตั้งใจเรียน หวังว่าจบแล้วจะได้หางานทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านบ้าง

เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ทั้งสองเดินไปนั่งคุยกันอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สายน้ำไหลแรงไม่ย่อท้อ เรือหางยาวส่งเสียงดังแหวกอากาศแล่นฉิวจนน้ำกระเซ็นไปตลอดทาง แสงแดดปลายฤดูหนาวทอแสงเจิดจ้าแจ่มใส สายลมโบกพัดมาระลอกแล้วระลอกเล่าทั้งแรงและอ่อนหวานอยู่ไม่วายเว้น

“รันเรียนจบแล้วอยากทำอะไร” ศาตราถามขึ้น

รันรู้สึกถึงความแตกต่าง เขาเรียนคณะเทคนิคการแพทย์ มีงานรอเขาอยู่อย่างแน่นอน ทางเดินของศาสตราสว่างสดใสในวันข้างหน้า ขณะที่รันยังมองไม่เห็นทางของตัวเอง

“ผมอยากเป็นครู” รันตอบเสียงเบารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

“อย่าทิ้งความฝันของตัวเองล่ะรัน ผมให้กำลังใจ” เป็นครั้งแรกที่เขาบีบมือรันอย่างให้กำลังใจดังพูด รันรับรู้ถึงความอบอุ่นและความเป็นมิตรอย่างแปลกประหลาดวาบขึ้นในใจ

ก่อนจะจากกันในวันนั้น ศาสตราบอกกับรันว่า

“เสียดายจังที่เราเรียนกันคนละมหา’ลัย ถ้าเรียนที่เดียวกัน เราคงได้เจอกันบ่อยๆ” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยกับรัน

 

แล้วรันก็วุ่นอยู่กับการอ่านตำราเตรียมสอบปลายปีการศึกษา พอสอบเสร็จรันโทร.ไปหาศาสตราที่หอพัก ทางนั้นบอกว่าเขาย้ายออกไปแล้ว รันไม่รู้จะติดต่ออีกฝ่ายอย่างไร เขามารู้จักรันในฤดูหนาวและจากไปในต้นฤดูร้อน

นี่เป็นเวลาเกือบสี่สิบปีแล้วที่รันไม่เคยเจอศาสตรา หรืออาจเคยเจอแต่คงจำกันไม่ได้ เขาคงจะลืมเพื่อนอย่างรันไปแล้ว แต่รันก็ยังนึกถึงเขาอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะการ์ดวาเลนไทน์ใบนั้น

รันเก็บการ์ดวาเลนไทน์ที่ศาสตราส่งให้เป็นอย่างดี เป็นสิ่งเดียวที่เขาให้ไว้กับรัน ทำด้วยมือและวาดรูปด้วยตัวของเขาเอง ยามว่างเป็นต้องเอามันออกมาดู แต่แล้วก็ต้องเสียมันไปตอนไฟไหม้บ้าน

รันเสียใจจนบอกไม่ถูกเพราะเป็นการ์ดวาเลนไทน์เพียงใบเดียวที่ได้รับในชีวิตนี้