เครื่องเคียงข้างจอ/ซีเกมส์ 2017

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

ซีเกมส์ 2017

ผ่านไปแล้วกว่า 1 สัปดาห์สำหรับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ซึ่งประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ในชื่อ กัวลาลัมเปอร์เกมส์ 2017

ซีเกมส์ครั้งนี้มีสโลแกนว่า “Rising Together” หรือ การรุ่งเรืองเติบโตไปด้วยกันของชาวอาเซียน เป็นสโลแกนที่ดูโลกสวยตามประสา Sport Propaganda แต่ในความเป็นจริงอาเซียนของเราก็ยังคงไปไม่ถึงไหน

ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไม่ยกเว้นแม้แต่ “กีฬา” ที่ดูจะไม่ค่อย Rising Together สักเท่าไหร่

ต้องยอมรับว่าซีเกมส์ครั้งนี้ มีกระแสข่าวของการจัดการแข่งขันของเจ้าภาพในมุมที่ไม่ค่อยดีออกมาเรื่อยๆ ทั้งความขลุกขลักในการประสานงาน การจัดการ

เลยไปถึงพฤติกรรมที่ดูจะออกแนว “เจ้าเล่ห์” และ “ไม่เป็นมืออาชีพ” ต่อชาติสมาชิกไม่น้อย

เริ่มตั้งแต่การแบ่งสายฟุตบอล ที่หะแรกเจ้าภาพบอกว่าจะให้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่สายไหน เท่านั้นแหละครับชาติสมาชิกก็พากัน fighting together ประท้วงความคิดนี้กันขรม จนสุดท้ายก็ต้องยกธงขาวกลับไปใช้ระบบแบ่งสายแบบสากลเอา

หรือแม้กระทั่งการขอให้ไทยไม่ส่งตะกร้อประเภททีมเดี่ยวเข้าแข่งขัน

หรืออย่างการไม่จัดแข่งขันกีฬาบางประเภทที่ตนไม่ถนัด หรือไม่มีสิทธิ์ลุ้นเหรียญใดๆ

และอย่างอื่นที่ดูไม่ค่อยเข้าทีก็ทยอยออกมาเป็นระยะๆ

ของชาติอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ของทีมชาติไทยที่เป็นคู่แข่งในการเป็น “เจ้าเหรียญทอง” จะปรากฏออกมาให้รู้สึกอยู่เนืองๆ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

ก็เลยรู้สึกว่า เพราะการจะต้องพยายามเป็น “เจ้าเหรียญทอง” จนเกินเหตุรึเปล่าที่ทำให้เจ้าภาพต้องการเป็นศัตรูกับสมาชิกที่ร่วมแข่งขันมากกว่าจะเป็น “เจ้าบ้านที่ดี”

ซึ่งก็ต้องบอกว่า ต้องขอยิงไปถึงประเทศไทยเองด้วย ที่ก็ได้กระแสข่าวมาไม่เบาเหมือนกันในเรื่องนี้ แม้จะไม่เกินเหตุไปมากกว่าหลายเจ้าภาพที่เป็นๆ กัน

Rising Together ที่ใกล้ตัวที่สุด ไม่ต้องอื่นไกลเลย เอาแค่เรื่องกีฬาก็พอ

หากจะชวนชาติอาเซียนให้ Rising กันในเรื่องนี้ ก็สมควรที่จะร่วมกันตั้งเป้าหมายให้ทัพนักกีฬาของอาเซียนสามารถเขยิบฝีไม้ลายมือขึ้นต่อกรกับเหล่าประเทศในเอเชียให้ได้ ไม่ใช่เป็นไม้ประดับในบางชนิดกีฬาอย่างเช่นทุกวันนี้

ทำยังไงให้ชาวอาเซียนสามารถยืดอกที่จะลุกขึ้นฟัดกับประเทศมหาอำนาจทางการกีฬาของเอเชียให้ได้ อย่าง จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิหร่าน คาซัคสถาน จอร์แดน อิรัก ได้

คงจะเป็นความ Rising มากๆ หากวันหนึ่ง ฟุตบอลทีมชาติลาวเอาชนะญี่ปุ่นได้ นักกีฬาเทควันโดกัมพูชาไล่เตะจนนักกีฬาของเกาหลีใต้ต้องโยนผ้ายอมแพ้ นักว่ายน้ำจากสิงคโปร์แตะขอบสระเป็นคนแรกเฉือนตัวเต็งจากจีน นักบาสเกตบอลของฟิลิปปินส์ชู้ตทำแต้มสุดท้ายพาทีมชนะทีมเก่งจากจอร์แดนได้

ถ้ายกตัวอย่างใกล้ตัวที่เห็นชัดๆ คือ ทีมวอลเลย์หญิงของไทยที่ต่อสู้สูสีกับทีมเก๋าอย่างญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ มาแล้วนั่นยังไง

ทำยังไงจึงจะเป็นอย่างนั้นได้

ในเมื่อจะ Rising กันทั้งที ก็ต้อง Rising กันตั้งแต่ “การจัดประเภทกีฬาในการแข่งขัน” ให้เป็นประเภทกีฬาสากล ที่เชื่อมต่อไปถึงการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ และกีฬาโอลิมปิกได้

ไม่ใช่ยัดกีฬาพื้นบ้านเข้ามาโดยไม่รู้ว่าจะพัฒนากันไปยังไงให้ป่วยการ

เห็นด้วยว่าสามารถมีได้ แต่ให้เป็นกีฬาที่ใช้โชว์ เป็น Demonstration เพื่อให้ชาติสมาชิกได้เกิด experience ไม่ใช่ประโคมจัดแข่งกันแบบเอาเป็นเอาตาย เพื่อจะได้เหรียญทองมาครอบครอง

ต่อมาก็ต้อง Rising กันของเรื่อง “การจัดการแข่งขัน” ให้ได้มาตรฐานสากลตามที่ควรจะเป็น ทั้งสนามในการแข่งขัน สนามฝึกซ้อม ที่พัก อาหาร การเดินทาง ที่ส่งเสริมให้นักกีฬาของทุกๆ ชาติ สามารถแสดงทักษะออกมาให้ได้สมบูรณ์มากที่สุด เพื่อการพัฒนาฝีมือและยกระดับไปด้วยกัน

ไม่ใช่ต้องมาสูญเสียพลังงานจากการเดินทางไกลเพื่อไปซ้อม หรือแข่งขัน

ไม่ใช่ต้องมาขาดพลังจากการขาดอาหารที่เหมาะสมในแต่ละมื้อ อย่างเช่น ที่มีข่าวกับทีมวอลเลย์สาวไทยที่อาหารเช้าไม่พอ และทีมฟุตซอลไทยที่ไม่สามารถจัดอาหารเที่ยงให้ได้มาแล้ว

ไม่ใช่ต้องมาเสียอารมณ์กับการจัดการปลีกย่อย จากการนัดรถแล้วรถไม่มารับตามนัดอันนี้ก็เกิดกับทีมวอลเลย์สาวไทยอีก ที่ลงเครื่องตั้งแต่เที่ยง แต่บ่าย 2 โมงครึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของรถสักคัน

ต่อมาก็ต้อง Rising กันถึงส่วนประกอบของการแข่งขันที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านักกีฬานั่นคือ “กรรมการ” ที่ต้องตัดสินได้อย่างมีคุณภาพ ยุติธรรม ไม่ตุกติกเอนเอียง หรือถูกเรียกไปปรับทัศนคติเพื่อให้คุณแก่ฝ่ายหนึ่งและให้โทษกับอีกฝ่ายหนึ่งดังที่เราได้เห็นอยู่บ่อยๆ

ซึ่งข่าวที่ออกมาได้น่าเกลียด คือ การที่ไม่จัดคนไปเอาลูกธนูมาให้กับนักกีฬาพิการที่ลงแข่งขันกับคนปกติ ซึ่งตามหลักสากลแล้วจำเป็นต้องมี แต่นี่เมื่อยิงไปแล้วนักกีฬาก็ต้องเขยกๆ ไปเอาลูกธนูเอง ซึ่งเกิดขึ้นกับนักกีฬาสิงคโปร์ และของไทยเราเอง

หรือข่าวการแบนนักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งของไทยที่เป็นลูกครึ่งไทย-สวีเดน ทั้งที่ชาติอื่นๆ รวมทั้งประเทศเจ้าภาพเองด้วย ก็มีตัวนักกีฬาลูกครึ่งเช่นเดียวกันนี้แต่กลับไม่โดนแบน

หรือแม้แต่ “กองเชียร์” ที่เป็นสีสันของการแข่งขัน เป็นกำลังใจของนักกีฬา ที่ย่อมจะอยากให้มีคนมาชมมาเชียร์กันเยอะๆ และเป็นการชมการเชียร์ที่มีสปิริต สวยงาม น่าชื่นชม

ประเด็นสุดท้ายคือ ควรจะ Rising กันในเรื่อง “การถ่ายทอด” ซึ่งจะว่าไปแล้วกับซีเกมส์ครั้งนี้ได้ตกม้าตายอย่างมากกับการถ่ายทอดกีฬา นับตั้งแต่ถ่ายทอดไม่ครบชนิดกีฬา จนชาติสมาชิกต้องแบกกล้อง แบกระบบการถ่ายทอดไปถ่ายการแข่งขันกลับมายังประเทศของตนเอง หรือการถ่ายทอดที่ขาดคุณภาพที่ดี แม้แต่ C.G. ของคะแนนยังกระท่อนกระแท่นเลย มีบ้างไม่มีบ้าง ขึ้นชื่อผิด ขึ้นข้อมูลผิด หรือไม่มีข้อมูลที่ดีพอ

ทั้งที่ในยุคนี้นั้น เทคโนโลยีทางการถ่ายทอดสด ได้ก้าวล้ำนำหน้าไปอย่างมาก รวมทั้งมี platform ที่หลากหลายมารองรับเพื่อส่งต่อไปถึงผู้ชมได้มากมาย และหลากหลายคอนเทนท์ได้มากกว่าสมัยก่อนเยอะ

แต่ซีเกมส์ครั้งนี้ถือว่า “ถอยหลังลงคลอง” อย่างมาก

ซึ่งถ้าหากทำได้ดีก็จะเป็นการ Rising คนดูผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์กันด้วย ให้ได้มีโอกาสชมเชียร์กีฬาประเภทต่างๆ ที่สนใจ ให้เกิดความเข้าใจในสปิริตของการกีฬา และมีส่วนร่วมกับมหกรรมกีฬาของพี่น้องในอาเซียนให้มากๆ

ที่กล่าวมานี้ก็เพื่ออยากจะให้การกีฬาของชาวอาเซียนได้ Rising Together กันจริงๆ สุดท้ายก็เพื่อยกระดับการกีฬาในภูมิภาคนี้ไปด้วยกัน

จากภาพรวมของการจัดการแข่งขัน มาถึงเรื่องผลงานของนักกีฬาไทยในคราวนี้กันบ้าง

จากตอนที่เขียนต้นฉบับนี้ไปจนถึงวันที่ตีพิมพ์ คงจะมีผลการแข่งขันที่อัพเดตกว่านี้ไปเยอะแล้ว จึงจะขอเขียนถึงในภาพรวมก็แล้วกัน

กีฬาที่ดูจะเป็น “หมู่บ้านกระสุนตก” ก็เห็นจะเป็น “ฟุตบอลชาย” ที่สตาร์ตมาด้วยผลงานที่ไม่สู้ดี จากนัดแรกที่เสมอกับอินโดนีเซีย 1-1 ด้วยรูปเกมที่ดูไม่ดีเท่าที่ควร ก็เอานะว่า อาจจะเป็นเกมแรกที่ยังไม่ลงตัว ยังต้องปรับจูนกันอยู่ แต่ถึงยังไง ด้วยรูปทรงการเล่นก็น่าจะดีกว่านั้น

และเหล่านักยิงกระสุนก็ได้ระดมสรรพกำลังในการลั่นกระสุนห่าใหญ่เข้าใส่ ทีมสต๊าฟโค้ช และนักเตะ หลังจากจบเกมนัดที่ 2 กับ ติมอร์-เลสเต

ถึงแม้ในนัดนั้นจะชนะ แต่ก็ด้วยสกอร์ที่ไม่น่าพอใจคือ 1-0 ซึ่งกว่าจะมาได้ก็ต้องเลยไปถึงเกือบ 1 ชั่วโมง เป็น 3 แต้มที่มีค่า แต่ก็โดนกระหน่ำถึงฟอร์มการเล่นที่ไม่มีคราบของแชมป์เก่าเลย ทั้งไม่ดูน่าเกรงขาม ไม่ดูน่าชื่นชม และดูไม่มีอนาคตเมื่อต้องเข้าไปเจอกับคู่แข่งแข็งๆ ที่รออยู่อย่างเวียดนาม หรือหากหลุดไปรอบลึกๆ ได้ ก็ต้องเจอกับเจ้าภาพมาเลย์ หรือเมียนมา หรืออินโดนีเซีย นั่น

ส่วนในนัดที่ 3 ที่ลงแข่งขันกับทีมชาติกัมพูชาก็ยังดีที่ทำให้แฟนบอลชาวไทยได้โล่งอก เพราะเอาชนะมาได้ 3-0 เป็นสกอร์ที่ทำให้พอยิ้มกันออก โดยหลังการแข่งขัน เราอยู่อันดับสองในสายร่วมกับอินโดนีเซีย ที่มีแต้มคะแนนและลูกได้เสียเท่ากัน

ตอนที่มติชนสุดสัปดาห์ฉบับนี้ตีพิมพ์ออกวางแผง ทีมชาติไทยได้ทำการแข่งขันไปแล้วกับทีมชาติฟิลิปปินส์ และทีมชาติเวียดนาม ตอนนี้ก็คงรู้แล้วว่าไทยเรานั้นได้เข้ารอบต่อไปหรือไม่

ก็ขออวยพรให้นักเตะสามารถงัดฟอร์มเก่งพลิกกับมาเก็บชัยชนะให้ได้นะครับ

ในขณะที่ทีมฟุตบอลชายไทยออกจากกระท่อนกระแท่น แต่ทีมฟุตบอลหญิงกลับสร้างผลงานได้โดดเด่นกว่า ด้วยการเอาชนะเจ้าภาพมาเลย์ไปได้ 6-0

นอกจากนั้น ทีมนักกีฬาไทยในหลายชนิดกีฬาก็ทำผลงานได้ดีเป็นที่น่าชื่นชม ได้แก่ นักกีฬาโปโลน้ำหญิง ที่รักษาแชมป์ไว้ได้จากคราวที่แล้วที่ชนะเจ้าภาพสิงคโปร์ และครั้งนี้ก็มาย้ำแค้นอีกครั้งจนคว้าเหรียญทองมาชื่นชมได้ รวมทั้งทีมรักบี้หญิงด้วยเช่นกัน

ทีมตะกร้อไทยก็ไม่ได้ทำให้คนไทยผิดหวัง โดยเฉพาะกับผลงานประเภททีมชายที่แข่งกับคู่ปรับตลอดการคือทีมเจ้าภาพมาเลเซีย ที่เราชนะรวดทั้ง 3 ทีมด้วยสกอร์ 3-0 เกมและด้วยคะแนนที่ห่างกันพอควร ยังความสะใจให้กับแฟนๆ ชาวไทยยิ่งนัก

และซีเกมส์ครั้งนี้ก็จะปิดฉากลงในวันที่ 30 สิงหาคม ไม่ว่าไทยจะได้กี่เหรียญทองก็ตาม ก็ขอชื่นชมนักกีฬาทุกคนที่ได้อดทนฝึกซ้อม ตรากตรำ และเข้าแข่งขันในฐานะตัวแทนของประเทศ ไม่ว่าจะได้เหรียญหรือไม่ได้เหรียญ

แต่ทุกคนก็คือฮีโร่ของคนไทยจริงๆ