ศึกธรรมนัส ปิดฉากแผน ‘ตู่’ อยู่ยาว | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ไม่มีใครไม่รู้ว่าคุณประยุทธ์ จ้นทร์โอชา ต้องการยึดประเทศเป็นของตัวเองตลอดกาล หรือถ้าไม่ตลอดกาลจริงๆ อย่างน้อยก็ยึดทำเนียบไว้ที่ตัวเองให้นานเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะโดยทำลายคู่แข่งทางการเมือง, ยัดคดีฝ่ายตรงข้าม, ใช้กฎหมายสร้างอำนาจ หรือแม้แต่การตีความรัฐธรรมนูญให้เอื้อประโยชน์ตัวเอง

ด้วยท่าทีคุณประยุทธ์ที่ต้องการให้รัฐธรรมนูญเรื่องนายกฯ อยู่ในตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี เริ่มนับที่ปี 2562 มากกว่าปี 2557 ที่คุณประยุทธ์ใช้กระบอกปืนตั้งตัวเองเป็นนายกฯ จริงๆ คุณประยุทธ์ได้แสดงให้เห็นถึงแผนการยึดประเทศจนถึงปี 2570 หรือเท่ากับการปกครองประเทศเพียงคนเดียวยาวนานถึง 13 ปี

เมื่อคำนึงถึงหายนะที่คุณประยุทธ์ทำกับประเทศมาตลอด 7 ปี อนาคตที่ต้องอยู่กับคุณประยุทธ์อีก 6 ปีคือฝันร้ายจนการย้ายประเทศอื่นเป็นทางออกที่ดีที่สุด

หรือต่อให้ไม่คิดว่าคุณประยุทธ์จะกินรวบประเทศถึงปี 2570 ได้จริงหรือไม่ การที่คุณประยุทธ์จะอยู่จนถึงประชุมเอเปคสิ้นปีก็ชวนสยองอยู่ดี

ความทะเยอทะยานที่สูงเกินความสามารถทำให้คุณประยุทธ์แทบไม่มีใครยอมรับเลย ผู้สนับสนุนคุณประยุทธ์เกลียดทักษิณ ชินวัตร, เกลียดเพื่อไทย, เกลียดคนรุ่นใหม่ และเกลียดธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พูดง่ายๆ คือไม่ได้เชียร์ประยุทธ์เพราะความสามารถของประยุทธ์

แต่เชียร์ประยุทธ์ให้กำจัดคนที่ตัวเองไม่ต้องการ

พลังประชารัฐเป็นเครื่องมือที่คุณประยุทธ์ใช้สร้างภาพว่าตัวเองเป็นที่ยอมรับของประชาชน และเพราะคุณประยุทธ์จริงๆ แทบไม่เป็นที่ยอมรับจากใคร พลังประชารัฐจึงสร้างพรรคโดยการดูด ส.ส.เก่าที่คะแนนนิยมในพื้นที่เหนียวแน่น ส่วน ส.ส.ใหม่ก็มาจากการโหมกระแสด่าทักษิณล่าธนาธร

พลังประชารัฐประกอบด้วย “ก๊วน” หรือ “มุ้ง” ของ ส.ส.ซึ่งแต่ละฝ่ายมีนายที่ดูแลแตกต่างกัน แต่ขณะที่พรรคใหญ่ในอดีตจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีตามจำนวน ส.ส.แต่ละมุ้ง การมี ส.ส.ในสังกัดกลับไม่ใช่หลักประกันของตำแหน่งรัฐมนตรีในยุคประยุทธ์ซึ่งตั้ง 250 ส.ว.มาตั้งตัวเองเป็นนายกฯ เอง

ใน “ระบอบประยุทธ์” ที่คุณประยุทธ์ทำให้เกิดกติกาเพื่อยึดครองประเทศ คุณประยุทธ์มี “พรรค ส.ว.” จำนวน 250 คน หรือครึ่งหนึ่งของ ส.ส.ในสภาทั้งหมด แต่ “พรรค ส.ว.” ต่างจาก ส.ส.ตรงที่ประชาชนไม่ได้เลือก ซ้ำคุณประยุทธ์ยังใช้ภาษีเป็นทรัพยากรเลี้ยงดู “พรรค ส.ว.” ตลอดเวลา

ธรรมชาติของพลังประชารัฐคือพรรคที่ทุกคนต้องสยบต่อคุณประยุทธ์ตลอดเวลา และเมื่อเป็นเช่นนี้ พลังประชารัฐจึงเป็นพรรคที่มีแนวโน้มจะเกิดความขัดแย้งระหว่างคุณประยุทธ์กับ “มุ้ง” ต่างๆ เรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีซึ่งถึงที่สุดแล้วอยู่ในมือคุณประยุทธ์มากกว่า ส.ส.หรือหัวหน้ามุ้งเอง

สำหรับมุ้งที่คุณประยุทธ์พอใจจนหัวหน้าได้เป็นรัฐมนตรี การจัดสรรตำแหน่งจนมีการกล่าวหาเพื่อให้เข้าถึงงบประมาณเพื่อกินตามน้ำและหากินตรงๆ คือวิธีจรรโลงมุ้งให้อยู่ต่อไป แต่สำหรับมุ้งที่ไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรี หัวหน้ามุ้งย่อมได้แก่คนที่มีทรัพยากรนอกรูปแบบมากพอจะควักดูแลคนในมุ้งด้วยตัวเอง

ในกรณีพลังประชารัฐ “ก๊วน” ที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ก๊วนสามมิตรและก๊วนคุณธรรมนัส พรหมเผ่า และถึงแม้จะระบุได้ยากว่าแต่ละกลุ่มมี ส.ส.สังกัดกี่ราย สิ่งที่เราพูดได้แน่ๆ คือกลุ่มธรรมนัสน่าจะมีกำลังพลมากกว่ากลุ่มสามมิตร เพราะคุณธรรมนัสมีชัยชนะในการยึดตำแหน่งเลขาฯ พรรคจากคุณอนุชา นาคาศัย

อย่างไรก็ดี ขณะที่กลุ่มสามมิตรยึดตำแหน่งรัฐมนตรีตั้งแต่คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน และคุณอนุชา ซ้ำยังยึดตำแหน่งอื่นๆ ในทำเนียบจากโฆษกไปจนถึงผู้ช่วยรัฐมนตรีอย่าง “แรมโบ้อีสาน” กลุ่มธรรมนัสที่มีจำนวน ส.ส.สังกัดมากกว่ากลับไม่มีตำแหน่งอะไร ไม่ว่าจะคณะรัฐมนตรีหรือในทำเนียบรัฐบาล

ในสายตาของคุณประยุทธ์ คุณธรรมนัสมี ส.ส.ในสังกัด, มีทรัพยากร, มีเครือข่าย และมีอำนาจต่อรองจนอาจ “ตีเสมอ” ได้ในที่สุด ตรงข้ามกับกลุ่มสามมิตรที่ไม่แสดงท่าทีอะไรเลย

ผลก็คือคุณประยุทธ์ไม่เคยปกปิดความรังเกียจคุณธรรมนัส และยิ่งนานความรังเกียจนี้ก็มาถึงจุดที่ทะลุเพดาน

คุณประยุทธ์ปลดคุณธรรมนัสและพวกจากคณะรัฐมนตรี จากนั้นก็ทำทุกทางให้หลุดจากตำแหน่งเลขาฯ พรรค

แต่คุณประยุทธ์ผลักคุณธรรมนัสออกจากพรรคไม่สำเร็จ ซ้ำทรัพยากรที่คุณธรรมนัสมีก็ทำให้คุณประวิตรไม่กล้าลดบทบาทคุณธรรมนัส ที่เคยทำมาแล้วในกรณีคุณอุตตม สาวนายน และคุณอนุชา

ทันทีที่พลังประชารัฐแพ้ประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ชุมพรและสงขลาอย่างย่อยยับ ฝ่ายคุณประยุทธ์ก็เดินเกมปลดคุณธรรมนัสโดยส่งคนของตัวเองตั้งแต่ “เสี่ยเฮ้ง” หรือรัฐมนตรี “สุชาติ ชมกลิ่น” และ “แรมโบ้อีสาน” หรือ “ผู้ช่วยรัฐมนตรี” ทำโพลชี้นำว่าธรรมนัสคือต้นเหตุที่พรรคแพ้ทันที

พลังประชารัฐลงเลือกตั้งซ่อมโดยเป็นต่อประชาธิปัตย์ทุกกรณี หัวหน้าพรรคคือคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกฯ และเป็นพี่ใหญ่ของ “อนุพงษ์” กับ “ประยุทธ์” จนมีอิทธิพลเหนือทหาร, ตำรวจ, ผู้ว่าฯ และกำนันผู้ใหญ่บ้านแทบทุกคน ประชาธิปัตย์จึงเข้าสู่สมรภูมิเลือกตั้งโดยแทบไม่มีทางชนะได้เลย

แม้ในคืนวันศุกร์ก่อนถึงวันเลือกตั้งจริงๆ แทบทุกคนประเมินว่าเต็มที่คือประชาธิปัตย์ชนะที่ชุมพร ส่วนสงขลานั้นแพ้แน่ๆ

แต่ผลที่ออกมาคือพลังประชารัฐแพ้เรียบ แผนขยายความนิยมของพรรคกระทบไปด้วย และคุณธรรมนัสถูกโยนเป็นแพะรับบาปจากคำพูดว่า “ให้เลือกคนรวยเข้าสภา”

อย่างไรก็ดี ผู้อำนวยการเลือกตั้งของพลังประชารัฐที่สงขลาคือ “เสี่ยเฮ้ง” ขณะผู้อำนวยการเลือกตั้งที่ชุมพรคือ “สันติ พร้อมพัฒน์” ส่วนคุณธรรมนัสมีบทบาทแค่ผู้ปราศรัยและลงพื้นที่ไปใช้เครือข่ายของตัวเองเพื่อสนับสนุนผู้สมัครของพรรคเท่านั้นเอง

น่าสังเกตว่าพลังประชารัฐแพ้ประชาธิปัตย์ที่สงขลาโดยมีคะแนนสูงขึ้นจากการเลือกตั้ง 2562 ราวสองหมื่นคะแนน เชื่อกันว่าคะแนนนี้มาจากคุณถาวร เสนเนียม ซึ่งเพิ่งลาออกจากประชาธิปัตย์ก่อนการเลือกตั้งไม่นานนัก ถึงแม้คุณถาวรจะประกาศก่อนออกว่าจะไม่ช่วยผู้สมัครคนไหนเลยก็ตาม

ใครในพลังประชารัฐที่เจรจาจนคุณถาวรช่วยพรรคเป็นเรื่องที่หลายคนรู้กัน แต่ที่แน่ๆ ผู้อำนวยการเลือกตั้งไม่มีส่วนทำให้คะแนนพรรคพุ่งแบบนี้ หรือในทางกลับกันคือถ้าการเลือกตั้งขับเคลื่อนโดยคุณ “สุชาติ” และ “สันติ” ล้วนๆ พลังประชารัฐอาจแพ้ประชาธิปัตย์ย่อยยับกว่าที่ผ่านมา

ประชาธิปัตย์ชนะพลังประชารัฐเพราะหลายปัจจัย ราคายางที่ตลอดปี 2564 สูงเฉลี่ยกิโลกรัมละ 60 บาท มีผลแน่ๆ เช่นเดียวกับราคาปาล์มที่ในปี 2565 สูงขึ้นกิโลกรัมละ 11 บาท ขณะที่พลังประชารัฐถูกมองว่าไม่ทำตามนโยบายที่หาเสียง ส่วนคุณประวิตรถูกมองว่าความน่าเชื่อถือล้มละลาย

ธรรมนัสเป็นแพะรับปากจากความห่วยของพลังประชารัฐและความไม่น่าเชื่อถือของคุณประวิตร และตราบใดที่ฝ่ายคุณประยุทธ์ไม่หยุดความพยายามกำจัดธรรมนัสออกจากพลังประชารัฐ สิ่งที่จะเกิดขึ้น คุณธรรมนัสจะหอบข้าวของและ ส.ส.ออกจากพรรคไปพรรคการเมืองอื่นอย่างแน่นอน

ด้วยการที่คุณประวิตรยืนยันสนับสนุนคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ในนามพลังประชารัฐต่อไป บทบาทคุณธรรมนัสในพรรคจึงเป็นได้แค่คนที่มีหน้าที่ทำให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ทั้งที่คุณประยุทธ์และพวกแสดงความจงชังคุณธรรมนัสตลอดเวลาจนไม่มีทางที่คุณธรรมนัสจะอยู่พรรคต่อได้เลย

เมื่อพลังประชารัฐไม่มีคุณธรรมนัสต่อไป กลุ่มสามมิตรย่อมเป็นมุ้งใหญ่ที่สุดไปโดยปริยาย ปัญหาคือสามมิตรทำให้พรรคโตไม่ได้ บริหารการเลือกตั้งไม่เป็น ทำได้แค่ย้ายกลุ่มไปหาพรรคใหม่และนายใหม่ไปเรื่อยๆ พลังประชารัฐที่มีสามมิตรเป็นแกนจึงไม่มีทางเป็นพรรคขนาดใหญ่ได้เลย

รอยร้าวระหว่างคุณประยุทธ์กับคุณธรรมนัสทำให้คุณประยุทธ์ต้องหวาดระแวงว่าจะถูกคว่ำกลางสภามากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่รัฐบาลจะรีบยุบสภาจึงมีมากขึ้นไปอีก การเมืองวันนี้จึงเดินหน้าสู่ความระส่ำระสายที่อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในอีกไม่นาน

ไม่มีทางแล้วที่คุณประยุทธ์จะเป็นนายกฯ จนถึงปี 2570 ได้อย่างที่ต้องการ