การเลือกตั้งอันเกิดขึ้นและมีผลอย่างสมบูรณ์แล้วในพื้นที่ เขต 1 ชุม พร และ เขต 6 สงขลา ได้ให้บทเรียนเป็นอย่างสูงในทางการเมือง

ไม่เพียงแต่พรรคพลังประชารัฐ ไม่เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์

หากแม้กระทั่งพรรคก้าวไกล พรรคกล้า พรรคไทยศรีวิไล และพรรคพลังสังคมที่ส่งคนลงสมัครก็อุดมสมบูรณ์

ปมเงื่อนอยู่ที่การสรุปจะดำเนินไปอย่างเข้มงวดหรือไม่

หากดูจากการปะทะและตอบโต้กันระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะเห็นได้ว่าการต่อสู้ทางการเมืองเป็นเรื่องที่ เป็นกระบวนการเอาชนะกันอย่างจริงจัง

แม้ทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์จะร่วมอยู่ในรัฐบาลเดียวกัน ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่แต่ละฝ่ายก็พร้อมที่จะใช้ความได้เปรียบในทุกสถานการณ์

ไม่จำเป็นต้องติดตามเพียงการอ้างถึงผลงานของตนในสถานะ

แห่งการเป็นรัฐบาล หากแต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก็พร้อมที่จะกระหน่ำฟาดอย่างดุเดือดรุนแรง

ทั้งในด้านของ”อำนาจรัฐ” ทั้งในด้านของ “อำนาจเงิน”

 

หากประเมินจากคะแนนที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐได้ “เรือนหมื่น”ขณะที่พรรคการเมืองได้มาเพียง”เรือนพัน”เหมือนกับจะเป็นเงาสะท้อน

ไม่ว่าจะมองในด้าน”ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็ย่อมจะแหลก ลาญ” กลายเป็นเหมือนกับ”ไม้ประดับ”ในทางการเมือง

ไม่ว่าจะมองจากสถานะที่มิได้เป็นส่วนหนึ่งภายในกลไกแห่งอำนาจรัฐทำให้เกิดความเสียเปรียบ และตกอยู่ในจุดเสมือนกับขึ้นไปอยู่บนภูดู”เสือ 2 ตัว”กัดกันอย่างดุเดือดเข้มข้น

กระนั้น ภายในการต่อสู้อันเข้มข้นระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐนั้นเอง “ธาตุแท้”ของแต่ละพรรคก็ปรากฏ

“น้ำลาย”และ”น้ำเงิน”ที่ทุ่มเทสร้าง”ลักษณะร่วม”ทางการเมือง

 

แท้จริงแล้ว ความเป็นจริงในฐานะ”รัฐบาล” ความพยายามที่จะแสดงตัวว่าเป็น”สถาบัน”ทางการเมือง เพื่อความได้เปรียบ

แต่เมื่อมีการสาด”น้ำลาย”เข้าใส่กัน ประสานกับการทุ่มเทจำ นวน”เงิน”ลงไปในการสร้างกระแสความนิยม

ไม่ว่า”พลังประชารัฐ” ไม่ว่า”ประชาธิปัตย์”ก็แทบไม่แตกต่างกัน