‘เทพไท’ รับ ‘นิพิฏฐ์’ มาเปิดใจ จะทิ้งปชป.จริง เอ๋ยปากชวนร่วมที่ใหม่

‘เทพไท’ รับ ‘นิพิฏฐ์’ มาเปิดใจ จะทิ้งปชป.จริง เอ๋ยปากชวน ให้ไปร่วมงานใหม่ด้วยกัน ยืนยันไม่ไป แต่เสียดายพรรคต้องเสียสมาชิกอาวุโส    

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเห็นกรณที่มีกระแสข่าว นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะลาออกจากพรรค โดยรับว่า “เสียดายคุณนิพิฎฐ์ ที่ต้องจากกันไป

ผมเห็นข่าวของคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ จะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ในสื่อหลายฉบับแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับข่าวนี้เลย เพราะผมได้พูดคุยปรับทุกข์ทางการเมืองกับคุณนิพิฏฐ์ มาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ คุณนิพิฎฐ์ก็โทรมาพูดคุยกับผมว่า ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ที่จะลาออก จากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไปร่วมงานกับกลุ่มการเมืองใหม่เพี่อจะจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองต่อไป ผมได้ถามสาเหตุถึงการตัดสินใจลาออกจากพรรค เพราะคุณนิพิฎฐ์ เป็นสมาชิกเก่าแก่ที่อยู่กับพรรคมาเป็นเวลา 30 ปี มากกว่าตัวผมเสียอีก การตัดสินใจทิ้งพรรคไม่ใช่การตัดสินใจง่ายๆ ต้องมีเหตุผลที่สำคัญมาก

คำตอบก็คือ พรรคไม่ให้เกียรติกับท่านในฐานะสมาชิกอาวุโส และไม่ได้ดูแลเพื่อน อดีตส.ส.ของพรรคที่สอบตกในครั้งการเลือกตั้งที่ผ่านมาเลย ทำให้ท่านหดหู่ใจ เพราะไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเพื่อน อดีตส.ส.ที่ท่านเคยดูแลรับชอบ สมัยท่านเป็นรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ คุณนิพิฎฐ์ได้บอกว่า ที่โทรมาพูดคุยกับผมเพื่อบอกกล่าวความในใจ ก่อนที่จะไปอำลากับท่านอภิสิทธิ์ และท่านชวนต่อไป

ผมรู้สึกเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องสูญเสียสมาชิกคนสำคัญไปอีกคนหนึ่ง เพราะคุณนิพิฏฐ์ คือ ส.ส.ของพรรคที่สู้ในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างดุเดือด อภิปรายได้อย่างแหลมคมคนหนึ่ง สภาชุดนี้ขาดคุณนิพิฏฐ์ไป ก็ทำให้ขาดสีสันทางการเมืองไปพอสมควร สุดท้ายคุณนิพิฏฐ์ ได้บอกผมว่า ถ้าหากพรรคไม่ให้ความสำคัญ ก็ยินดีชวนไปร่วมงานกับท่านได้

ผมได้ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า แม้ผมจะเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคประชาธิปัตย์ ความเห็นหรือเสนอแนะของผมไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความหมาย และไม่มีใครให้ความสำคัญ หรือนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติเลยก็ตาม แต่ผมเคารพวิถีทางประชาธิปไตยภายในพรรค ถ้าเสียงข้างมากในพรรค มีมติออกมาเช่นไร ผมก็ยอมรับมตินั้น แต่ยืนยันว่าสิ่งที่ ผมแสดงความคิดเห็นทั้งหมด ตั้งอยู่บนจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น ผมได้นำเอาอุดมการณ์ของพรรคเป็นเกราะป้องกันตัวเอง เพื่อไม่ให้ใครมาตำหนิ หรือกล่าวหาผมได้ว่าทรยศต่ออุดมการของพรรคได้ คนที่ละเมิดอุดมการณ์ของพรรคต่างหาก ที่ควรจะได้รับการตำหนิ และการประนามจากสมาชิกพรรคมากกว่า

ผมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ผมเกิดทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ จะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ คือพรรคสุดท้ายของผม”