สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร/ล้ม แล้ว ล้าง

สถานีคิดเลขที่ 12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

—————————

ล้ม แล้ว ล้าง

—————————-

เมื่อ กล่าวถึง “ล้มล้าง”คำสุดฮิตและฮ็อตตอนนี้

มีสองความรู้สึก เกิดขึ้นคู่ขนานกัน

คือ รู้สึกทั้ง”ไม่เป็นห่วง” และ”เป็นห่วง”

ไม่เป็นห่วง ก็คงเป็นกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โอดครวญ ถึง “คนใจร้าย” จะทำให้ “สภา” กลายเป็น “สภาTOXIC”

ใช้การ”คว่ำ”กฎหมายเป็นเครื่องมือโค่นล้มทางการเมือง

ซึ่งแม้พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าจะกระทบกับส่วนรวมและประเทศชาติ

แต่ เป็นที่รู้กันว่าที่จะได้รับผลกระทบมากสุด คือ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล เพราะอาจต้องลาออก หรือยุบสภา

ถือว่าเป็นความ”ร้ายแรง”ทางการเมือง

แล้วทำไมถึงบอกว่า ไม่เป็นห่วง

ไม่เป็นห่วง เพราะถือว่าเป็นธรรมดาทางการเมือง มาได้ก็ไปได้ ขอให้เป็นไปตามระบอบ

ไม่เป็นห่วง เพราะเชื่อว่าฝ่ายกุมอำนาจตั้งแต่ทำเนียบยันไปถึงสภา ต้องพยายามและดิ้นรน ที่จะต่อรอง-ผสานประโยชน์กันให้ได้

ทั้งในพรรค และระหว่างพรรค

เราจึงเห็นความพยายามเคลียร์ใจ ของคนกันเอง โดยเฉพาะในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งแม้จะยังไม่ลงตัวนัก แต่ดูแล้วพวกเขาก็คงไม่ไปสุดขั้วถึงขั้นแตกหักกัน

เราจึงเห็นการจัดปาร์ตี้ ของพรรคร่วมรัฐบาล ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อที่จะลด”พิษ”ในสภา สามารถอุ้มสมกันต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง

แต่ถ้า ผสานประโยชน์กันไม่ได้ จริงๆ ก็ยุบสภา ไปเลือกตั้งกันใหม่ ก็แค่นั้น

ดังนั้น ถึงบอกว่า ไม่ได้เป็นห่วงเลย สำหรับภาวะ”ใจร้าย”ตามการโอดครวญของพล.อ.ประยุทธ์

อย่างไรก็ตามที่”เป็นห่วง”จริงๆ

คงเป็นผลสืบเนื่องจากการที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย ว่า 3 แกนนำ คนรุ่นใหม่ และองค์กร เครือข่าย กระทำการล้มล้าง

การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

เป็นห่วง ทั้งต่อเหตุผลคำวินิจฉัยที่ออกมา ซึ่งสามารถตีความไปได้มากมายหลายทาง

เป็นห่วง ทั้ง สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา นั่นคือ เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้าม “ล้ม” ก็ชิงจังหวะ “ล้าง” เสียให้สิ้นซากเสียเลย

เราจึงเห็น ความพยายามตีความอย่างกว้างขวาง ไร้ขอบเขต

ทั้งนี้เพื่อเอาผิดหรือจัดการฝ่ายตรงกันข้าม แบบจะไม่ให้เหลือซาก

ลากเอาเข้าคุกได้ ก็จะลาก

ลากไปสู่การยุบพรรคได้ ก็จะทำ

ลากไปสู่ การกล่าวหา ปิดปาก สาดโคลน ว่า คนเหล่านี้ และเครือข่าย ที่ในอดีตเรียกว่า “แนวร่วม” เป็นพวกล้มล้างสถาบัน เพื่อไม่ให้มีที่ยืนทางการเมือง และ ในสังคม อย่างไม่มีการรอมชอมกัน ก็ไม่รีรอ

ซึ่งตอนนี้ ก็เห็น ความกระเหี้ยนกระหือรือกันคึกคัก

ทำให้ รู้สึกเหมือนหลายคนรู้สึก คือเหมือน หลัง 6 ตุลาคม 2519 ที่กลุ่มนิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ เจอการกวาดล้าง

ซึ่งตอนนั้น อาจโหด ดิบ เถื่อน กว่า ทุกวันนี้ เพราะยกกำลังเข้าห้ำหั่นกันดื้อๆกลางเมืองหลวง

แต่พ.ศ.นี้ อาจจะพัฒนาให้ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ให้ดูแนบเนียบกว่า

โดยเข่นฆ่าผ่าน “นิติสงคราม”

ดูเหมือน ไม่เหี้ยมเกรียม

แต่ระดับความรุนแรงแห่งการทำลายล้างไม่แตกต่างกันเลย

นี่คือ สิ่งที่ เป็นห่วง

ซึ่งถ้าฝ่ายที่มีอำนาจ เชื่อว่า ขณะนี้ฝ่ายตนเองได้เปรียบ หรือชนะ ถึงเวลาเดินหน้าปฏิบัติการ “ล้ม” แล้ว “ล้าง”ให้ราบคาบเสียเลย ล้าง แล้ว จบ ก็ว่ากันไป

แต่กลัว “ล้ม”แล้ว”ล้าง” ไม่จบนี่สิ อะไรจะเกิดขึ้น

ไม่อยากคิด–ขนลุก

ขนลุก เหมือนได้ดูคลิปเหล่าผู้เข้าเรียนหลักสูตรวปอ.ล่าสุด ที่ว่ากันว่าเป็น”คลังสมองระดับสูง”ของชาติ

ยืนอาจหาญ ร้องเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน”ต่อหน้า”ท่านผู้นำ”ประยุทธ์

เป็นบรรยากาศเดียวกับเหตุการณ์ก่อน 6 ตุลาคม 2519

ที่คนไทยถูกปลุกระดมให้รอเพลง”หนักแผ่นดิน”ก่อน ที่จะมีปฏิบัติที่ทำให้ฝ่ายตรงข้าม”ล้ม” แล้ว

จากนั้น ก็ “ล้าง” อย่างหน้าเหี้ยมโหด เป็นตราบาปกระทั่งวันนี้