ผี พราหมณ์ พุทธ : พลังของ ‘กี’ อันศักดิ์สิทธิ์

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

 

 

พลังของ ‘กี’ อันศักดิ์สิทธิ์

 

เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ภาษาวัยรุ่นเพศหลากหลาย เขาเรียกอวัยวะเพศหญิงว่า “กี” นะครับ ดูเหมือนจะช่วยให้พูดได้สะดวกปาก หรือเอาไปพูดกันในที่สาธารณะได้

ผมจึงขอใช้คำนี้ด้วยคนเพราะก็ยังเขินๆ ที่จะพิมพ์คำอื่นตรงๆ

นานมาแล้ว ผมเคยมีปีใหม่ที่เงียบเหงาจนทนไม่ไหว นึกอย่างไรไม่ทราบจึงไปขอนอนบ้านพราหมณ์อินเดียที่สนิทกัน ท่านเช่าห้องพักเล็กๆ อยู่ในย่านปิ่นเกล้า แม้จะคับแคบเพียงไรแต่ท่านก็จัดที่หลับที่นอนให้ผมอย่างดี และด้วยความที่ใช้ภาษาไทยได้คล่องแคล่ว คืนนั้นเราเลยคุยกันจนดึกดื่น

เช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันปีใหม่ ท่านตื่นก่อนผม แล้วเข้าที่สวดมนต์ภาวนาตามขนบพราหมณ์ ทำสันธยาประจำวันแล้วก็สวดมนต์ไปเรื่อย แต่สิ่งที่ผมสนใจคือ ท่านสวดมนต์ถึงเทวีปางดุร้ายองค์หนึ่ง เมื่อสวดถึงท่อนที่กล่าวถึงการบูชาโยนีท่านก็ทำมือในท่า “โยนิมุทรา” คือทำเป็นรูปอวัยวะเพศหญิงไปด้วย

ผมถามท่านถึงมนต์บทนี้เพราะไม่ใช่มนต์ที่สวดกันโดยทั่วๆ ไป ท่านเล่าว่า เมื่อกลับไปอินเดียในช่วงปีที่ผ่านมา ได้เจอพราหมณ์อาวุโสคนหนึ่ง พราหมณ์ท่านนี้มาทำพิธีให้ที่บ้าน (คือพราหมณ์เวลาทำพิธีก็ต้องเชิญพราหมณ์ด้วยกันนี่แหละ) ทว่ามีใบหน้าที่อ่อนกว่าอายุจริงมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีน้ำเสียงและมีบารมีที่น่าเกรงขามอย่างประหลาด

พอไปสอบถามเคล็ดลับ ท่านก็สอนมนต์บทนี้และวิธีการใช้ต่างๆ ให้ จึงนำมาปฏิบัติอยู่เสมอ

 

เรื่องที่ว่ามนต์บทนี้จะมีอิทธิคุณจริงหรือไม่ ผมคงตอบไม่ได้ แต่ที่น่าสนใจคือมนต์บทนี้มีท่อนที่กล่าวนมัสการ “โยนี” คืออวัยวะเพศหญิงด้วย ซึ่งมักไม่ได้พบบ่อยนัก

ปกติแล้วคนมักคิดว่าศาสนาฮินดูบูชาก็แต่พระศิวลึงค์อันเป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย ที่จริงลึงค์จะแปลว่า “สัญลักษณ์” เฉยๆ ก็ได้ แต่มักลืมไปว่าศิวลึงค์ที่ชี้ขึ้นอย่างโดดเด่นนั้น ต้องวางตั้งอยู่บน “ฐานโยนี” หรือฐานที่แสดงถึงอวัยวะเพศหญิงจึงจะเป็นศิวลึงค์ที่สมบูรณ์

ในอุษาคเนย์เรามักเห็นการตั้งรูปลึงค์หรือ “ขิก” ไว้โดดๆ โดยไม่มีรูปอวัยวะเพศหญิง ผมคิดว่านี่ไม่ใช่คติพราหมณ์ เพราะไม่ได้สื่อถึงพระศิวะหรือเทพฮินดูที่ไหนๆ เอาเข้าจริงแล้ว เขาไม่ได้ตั้งลึงค์หรือขิกพวกนี้ไว้บูชา แต่ใช้เป็น “เครื่องบูชา” ต่อเจ้าแม่หรือผีผู้หญิงอีกทีหนึ่ง เพื่อให้ผีเจ้าแม่พึงพอใจ

แม้แต่การพก “ปลัดขิก” ผู้รู้บางท่านก็ว่า ตามความเชื่อเดิมที่จริงก็เพื่อหลอกผีผู้หญิงให้งงงวย เพราะชื่อก็บอกว่า “ปลัด” คือเป็นรอง ของ “ขิก” คืออวัยวะเพศชาย ทั้งนี้จึงต้องแขวนเอวไว้ เพื่อให้ผีงงว่า ทำไมไอ้เจ้าเด็กคนนี้มันมีขิกสองอันวะ

ความเชื่อดังกล่าวจะจริงเท็จมากน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่อง แต่ก็แสดงให้เห็นความสำคัญของเพศหญิงในวัฒนธรรมเก่าแก่ของเราเอง ผ่านสัญลักษณ์อวัยวะเพศชาย

ส่วนเครื่องรางที่เป็นอวัยวะเพศหญิงตรงๆ เช่น “เป๋อ” กลับไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก อาจเพราะถูกลดความสำคัญในภายหลัง แต่ผมเห็นว่า เผลอๆ เป๋อจะเป็นร่องรอยตันตรยานผ่านวัฒนธรรมไสยศาสตร์ในอุษาคเนย์ด้วยซ้ำ

 

อินเดียก่อนจะกลายเป็นสังคมชายเป็นใหญ่ เพศหญิงก็สำคัญกว่ามาก ที่น่าสนใจคือ ผมยังไม่เคยเห็นเทวสถานศิวลึงค์ที่มีแต่ลึงค์โดดๆ โดยไม่มีฐานโยนี กล่าวคือ แม้จะบูชาพระศิวะเป็นหลัก แต่ก็บูชาพระแม่เจ้าไปพร้อมกันด้วย

แต่ในอินเดียกลับมีเทวสถานที่บูชาโยนีอย่างเดียวโดยไม่มีศิวลึงค์นะครับ ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเทวสถานกามากษีในเมืองกาญจีปุรัม และกามขยาเทวีในรัฐอัสสัม

เทวสถานกามากษี (พระแม่ผู้มีดวงตาอันน่าปรารถนา) ผมเคยไปเยือนเมื่อหลายปีก่อน ภายในเทวสถานชั้นใน วอบแวมด้วยแสงประทีป เรามองเห็นรูปพระแม่นั่งในท่าขัดสมาธิ ถืออาวุธอย่างเดียวกับ “กามเทพ” เช่นคันธนูต้นอ้อยและบุษบาศร เบื้องหน้ามีแท่นโยนีประดิษฐานอยู่เท่านั้น ว่ากันว่าแต่เดิมอาจเคยเป็นเทวีของพุทธศาสนามาก่อน แต่ท่านศังกราจารย์เปลี่ยนให้เป็นวัดฮินดูและเป็นสำนักของท่านเองด้วย นับถือกันว่าเป็นเจ้าแม่ที่ศักดิ์สิทธิ์มากองค์หนึ่งในอินเดียใต้

ส่วนวัดกามขยาเทวีผมเคยเล่าไว้บ้าง วัดนี้ประหลาดมหัศจรรย์กว่ามาก เพราะเขาบูชาพระสวายัมภูโยนี คือ หินรูปอวัยวะเพศหญิงตามธรรมชาติ ถ้าบ้านเราคงเรียกหินยาย นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาสถานของพระเทวี

การบูชารูปโยนีในอินเดีย นิยมกันในหมู่ผู้นับถือนิกายศากตะหรือนิกายที่นับถือเจ้าแม่ คนเหล่านี้โดยมากยึดถือความเชื่อแบบตันตระ ซึ่งให้ความสำคัญกับเพศหญิงและพระเทวีมาก ถือว่าพลังของเพศหญิงนั้น เป็นพลังอันอาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งต่างๆ หรือพลังแห่งการก่อกำเนิด หรืออาจเรียกว่าคือพลังแห่ง “ธรรมชาติ” (สันสกฤตเรียก ประกฤติ)

ส่วนพลังของเทพบุรุษนั้นเป็นพลังงานที่หยุดอยู่นิ่ง เป็นรูปจริตจิตใจหรือการสำนึกรู้ (สันสกฤตเรียก ปุรุษะ) ตัวพลังนี้จึงไม่อาจแปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งใดได้ แต่เป็นพลังที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น

 

พลังก่อกำเนิดหรือพลังโยนีนั้นยังเชื่อมโยงไปยังพลังแห่งการแตกดับหรือตายด้วย เพราะเมื่อเราเกิดจากดิน ยามเราตายเราก็สลายไปสู่ดิน ส่ำสัตว์พืชพันธุ์ก็เช่นนั้น แผ่นดินจึงเป็นทั้งครรโภทรและสุสานยามสิ้นใจในเวลาเดียวกัน

การเคารพเฉพาะโยนีจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะแม้การก่อกำเนิดจะอาศัยเชื้อชีวิตจากพ่อและครรโภทรจากแม่ แต่แม่เท่านั้นที่เก็บเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตนั้นไว้ในตนเองและโอบอุ้มจนกำเนิดออกมา และเมื่อกำเนิดออกมาแล้วก็ยังโอบอุ้มไว้อีกยาวนาน หล่อเลี้ยงด้วยน้ำนมจากตน ในขณะที่พ่ออาจทิ้งภาระการเลี้ยงดูไปเพื่อล่าสัตว์หรือทำกิจกรรมภายนอก

โยนีจึงเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังที่สุด ในแง่จิตใจมันเป็นทั้งรูปปรากฏของความปรารถนา ความสุขทางเพศรส การก่อกำเนิด เป็นที่ลึกลับชวนหลงใหล เป็นที่มาของจักรวาล แม้แต่ประจำเดือนที่หลั่งไหลออกมาก็นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะสะท้อนภาวะความพร้อมที่จะก่อกำเนิดแล้ว

นอกจากการบูชาโยนีในรูปเคารพแล้ว ยังมีพิธีกรรมการบูชาโยนีจริงๆ ด้วย โดยมักประกอบพิธีกันเฉพาะในหมู่สตรี เช่นที่วัดกามขยา (องค์จำลอง) มีการให้ผู้หญิงที่จะรับการบูชาโยนีนั่งคร่อมลงบนพระแท่นโยนีธรรมชาติ (จำลอง) แล้วมีผู้ประกอบพิธีผู้หญิงทำการสักการะโยนีด้วยวิธีต่างๆ หรือการบูชาโยนีโดยการตั้งนิมิตและสวดสักการบูชาดังที่ผมได้เล่าไว้ตอนต้นของบทความ

ศาสนาแบบชายเป็นใหญ่ช่วงชิงความศักดิ์สิทธิ์ไปสู่สภาวะแบบชาย สิ่งที่เคยเป็นความศักดิ์สิทธิ์จึงถูกด้อยค่า โยนีจึงเป็นสิ่งพึงรังเกียจ ไม่ว่าในแง่ความต้อยต่ำสกปรก หรือในแง่สิ่งล่อลวงต่อการถือพรหมจรรย์ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับโยนีจึงกลายเป็นสิ่งอันต่ำทรามไปด้วย และถูกนิยามว่า “ไม่สะอาด” ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ชายสถาปนาไว้

ดังนั้น ผมจึงเห็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่บางคนพยายามจะอธิบายแนวคิดเรื่องประจำเดือนในทางความเชื่อใหม่ว่า ที่จริงไม่ใช่เพราะมันสกปรกจึงทำให้ไสยเวทต่างๆ เสื่อมหรอก แต่เพราะมันศักดิ์สิทธิ์มากเสียจนไม่มีอะไรทำลายได้ต่างหาก จึงทำให้นักไสยเวทผู้ชายกลัวประจำเดือนกันมากว่าสามารถจะทำลายพลังไสยเวทของตนได้

การอธิบายแบบนี้สำคัญครับ เพราะเปลี่ยนมายาคติที่ครอบงำกันมายาวนานโดยใช้ระบบคิดแบบศาสนาเองนั้นแหละมาคัดง้าง โดยตีความเสียใหม่

ในคัมภีร์ฝ่ายตันตระ เช่น โยนิตันตรัมถึงกับกล่าวว่า “(พระศิวะกล่าว) ฟังเถิดปารวตี กฤษณะบูชาโยนีแห่งราธาจึงได้เป็นเทพกฤษณะ พระศรีรามชนกีนาถก็บูชาโยนีพระสีดา พระวิษณุพระพรหม บรรดานักบุญทั้งหลายและข้าเองล้วนกำเนิดจากโยนี”

ถ้าคุณไม่เคารพโยนี คุณก็ไม่เคารพแม่ตัวเองและผู้หญิงทั้งโลกนี้ การบูชาโยนีคงมิได้หมายถึงเพียงการประกอบพิธีกรรมในศาสนาเท่านั้น แต่คือการเคารพและให้เกียรติสตรีอย่างเท่าเทียมเสมอภาค

 

ที่จริง แรงดลใจที่ผมมาเขียนบทความเรื่องนี้ เพราะในวันที่เขียนบทความ “ป้าเป้า” นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยสามัญชนคนธรรมดา ได้มารับทราบข้อกล่าวหาในคดีอนาจาร เนื่องจากป้าเป้าได้เปลือยกายประท้วงต่อหน้าตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ผมสะเทือนใจครับ ที่สุดท้ายคนธรรมดาที่ปราศจากอาวุธหรืออำนาจ ใช้อำนาจเหนือร่างกายของตนเองเป็นอาวุธในการต่อสู้ ป้าเป้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องละอายหรืออายเลย แต่ความละอายนั้นต้องตกแก่ผู้มีอำนาจทุกคนรวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย เพราะพวกคุณได้ทำให้คนไม่มีทางสู้คนหนึ่ง นำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอมีเพียงสิ่งเดียวมาใช้ต่อสู้ คือร่างกายและโยนีอันสูงส่งของเธอ

คนโบราณเขาเชื่อนะครับว่า แรงจากความโกรธแค้นและพลังของโยนีศักดิ์สิทธิ์มีแต่จะทำห้ผู้ถูกสาปแช่งวิบัติฉิบหายไป

สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ช่วยไม่ได้