‘โอษฐ์’ ทกภัย/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘โอษฐ์’ ทกภัย

 

ฝนที่ตกหนักสะสม และถล่มซ้ำด้วยฤทธิ์เดชของพายุ “เตี้ยนหมู่”

นอกจากจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ 27 จังหวัดแล้ว

ยังส่งผลสะเทือน “ทางการเมือง” ด้วย

นั่นคือทำให้รอยปริร้าวในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ปรากฏชัดเจนขึ้น

การลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วม กลายเป็นการวัดกำลังกันระหว่างฝ่าย 2 ป. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค พปชร.

ถึงขนาดมีการนับหัว ส.ส.ว่าใครไปร่วมกับฝ่ายใดบ้าง กลายเป็นประเด็นในสื่อใหญ่โต

แม้จะมีการพยายามลดโทนการแข่งขันลง ด้วยการที่ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงไม่ลงพื้นที่ในห้วงเวลาเดียวกัน

ขณะเดียวกันมอบหมายให้นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร มือขวาของ ร.อ.ธรรมนัส คอยเกลี่ย ส.ส.ให้ร่วมไปกับคณะของทั้ง 2 ฟากให้สมดุล

จะได้ลดภาพขัดแย้งลง

กระนั้นก็ยังถูกจับตาว่าจะได้ผลจริงหรือไม่

 

การลงพื้นที่ จ.สุโขทัย ของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้นายไผ่จะไปร่วม

แต่ก็ไร้เงาของ ร.อ.ธรรมนัส ที่มีอิทธิพลสูงในภาคเหนือ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าถิ่นคือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ระดมกลุ่มสามมิตรมาต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์

ส่วน ร.อ.ธรรมนัสชู พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้า พปชร. ว่าได้มอบหมายให้ตนในเลขาธิการพรรค ระดม ส.ส.พปชร.ในแต่ละจังหวัด เข้าช่วยเหลือประชาชน

โดยกระทำในนามพรรค พปชร.

อันมิได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์แต่อย่างใด

สะท้อนให้เห็นถึงการแยกกันเดินชัดเจน

ซึ่งก็คงเป็นดังที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย วิจารณ์

นั่นคือ การลงพื้นที่ตรวจดูสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถสะท้อนปัญหาของพื้นที่ แต่เป็นการวัดพลังในพรรค พปชร.มากกว่า

ผลที่ออกมาจึงไม่ได้เป็นการไปให้กำลังประชาชน

แต่ไปเพื่อสร้างฐานอำนาจในพรรคมากกว่า

 

ในท่ามกลางเสียงวิจารณ์ดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ดูจะไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากพยายามโชว์ความเป็นผู้นำ โชว์ความเป็นนายกฯ อย่างเต็มที่

และสิ่งที่มักโชว์เป็นพิเศษยามลงพื้นที่

นั่นก็คือ “การพูด”

ไมโครโฟนและเครื่องเสียง คือสิ่งที่จะต้องอยู่เคียงกาย พล.อ.ประยุทธ์ตลอดเวลา

แน่นอนว่า ในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ย่อมมองว่านี่เป็นจุดแข็งและจุดเด่นของตนเอง ที่จะได้พูดจาหรือสื่อสารกับชาวบ้านโดยตรง

แต่การพูดที่ “สุโขทัย” ก็เป็นอีกครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเผชิญจากการพูดนั่น

คือผลมิได้ออกมาเป็นบวกอย่างที่ตั้งใจ

 

สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดออกไป อาทิ

1) วันนี้นายกฯ มาเยี่ยมนะจ๊ะ เป็นภัยธรรมชาติ เดี๋ยวก็แก้กันไป คงเดือดร้อนสักระยะหนึ่ง นายกฯ ก็เดือดร้อน เพราะเป็นห่วงประชาชน

2) ปัญหาบ้านเมืองไม่ใช่มีเพียงแค่ตรงนี้ มีหลายที่ด้วยกัน โดยขณะนี้มีพายุเข้ามา โดยปี 2563 พายุเข้ามา 5 ลูก และนี่เพียงลูกเดียว จึงขอให้ช่วยกันสวดมนต์ อย่าให้พายุเข้ามาอีกเลย พายุลูกเดียวนี่ก็พอแล้ว

3) ขอช่วยกันคิดใหม่ว่าวันข้างหน้าจะอยู่กันอย่างไร จะต้องปลูกบ้านอย่างไร จะต้องปลูกบ้าน 2 ชั้น หรือขยับขยายไปอยู่ในที่สูงขึ้น ซึ่งรู้ว่ายาก แต่ถ้าตั้งใจฟังรัฐบาลพูดบ้าง

4) ผมเป็นนายกฯ ก็ใช่จะสบาย ต้องทำงานทุกวัน ต้องพยายามคิดอะไรใหม่ๆ ทั้งในเรื่องของการเกษตรโครงสร้างพื้นฐาน แก้ปัญหาความยากจน การกระจายรายได้ลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งทุกคนจะต้องพัฒนาขีดความสามารถ เพราะวันข้างหน้าลูก-หลานต้องอยู่กับเทคโนโลยีดิจิตอล ต้องการเรียนภาษาโค้ดดิ้ง เพื่อสั่งการด้วยคอมพิวเตอร์

5) วันนี้ทุกคนมาในนามรัฐบาล ในนามคณะรัฐมนตรี เพื่อช่วยเหลือดูแลทุกคน ใครจะรักหรือไม่รักนายกฯ ไม่สนใจ เพียงขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

 

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังพยามเล่นมุข และพยายามตลก

เช่น มีช่วงหนึ่งได้มีเกษตรกรสุโขทัยนำทุเรียนหมอนทองเมืองพระร่วงมาให้ พล.อ.ประยุทธ์จำนวน 3 ลูก

โดยบอกกับนายกฯ ว่า “เอามาให้ลุงตู่ อีก 2 วันสุก รับประทานได้ และเอาไปแบ่งลุงป้อมสักลูกก็ได้ครับ”

พล.อ.ประยุทธ์จึงกล่าวว่า “เดี๋ยวจะให้ลุงป๊อก ลุงป้อม ลุงตู่” และกระเซ้ากลับไปว่า “เดี๋ยวจะกินทั้งเปลือกเลย”

ต่อมานายกฯ เยี่ยมชมโครงการโคบาลประชารัฐ ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ได้ริเริ่มไว้ใน จ.สุโขทัย จึงพยายามอธิบายความเป็นมาของโครงการให้นายกฯ ทราบความคืบหน้า

แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับตัดบทนายสมศักดิ์ โดยบอกให้ไปคุยกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมหันไปหาวัว และสะกิดถามว่า “เห็นด้วยไหมๆ”

ระหว่างนั้นวัวตัวหนึ่งได้ร้องขึ้นมาเป็นระยะๆ ทำให้นายกฯ พูดกับวัวตัวดังกล่าวว่า “รู้แล้ว เขาบอกแล้ว เห็นด้วยไหม” พร้อมกับเอามือไปลูบหัวอย่างอารมณ์ดี

แต่ไม่รู้ว่า นายสมศักดิ์และเกษตรกรผู้เลี้ยงจะอารมณ์ดีด้วยหรือไม่

 

จากคำพูดและมุขที่พยายามให้ตลกของ พล.อ.ประยุทธ์ดังกล่าว

ผลเป็นอย่างไร วัดได้จากปฏิกิริยาในโลกโซเชียล

โดยที่ร้อนและแรงที่สุด ก็คงเป็นประโยค “ขอให้ช่วยกันสวดมนต์ อย่าให้พายุเข้ามาอีกเลย พายุลูกเดียวนี่ก็พอแล้ว”

ที่พุ่งฉิวติดเทรนในเวลาอันรวดเร็ว

ชาวเน็ตบางรายทำเพลงลงใน Tiktok โดยในคลิปมีการบรรยายว่า “ชวนคนไทยสวดมนต์ไล่พายุ โดนใจคนไทยทั้งประเทศอีกแล้ว”

เพลงดังกล่าว มีเนื้อร้องว่า “น้ำท่วมต้องไปนิมนต์พระ มาสวดคาถาไล่พายุไป ผู้นำบ้านฉันแนะนำออกมาจากใจ สวดมนต์ให้ไวพายุจะได้อ่อนแรง ผู้นำบ้านฉันเป็นคนเก่ง ไม่เคยกลัวเกรงทุกเรื่องสบาย โควิดรอบนั้นสวดมนต์ทุกคนปลอดภัย น้ำท่วมสบาย แก้ง่ายๆ แค่สวดมนต์”

ซึ่งก็มีคนเข้าไปให้ความเห็น และเฮฮากับคลิปดังกล่าวมากถึง 685,000 ครั้งภายในไม่กี่ชั่วโมง

 

ทําให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) วิพากษ์ว่า ยุคนี้เป็นยุค 2021 การแก้ปัญหาน้ำท่วมหรืออุทกภัยนั้น วันนี้ประเทศต่างๆ พึ่งพาด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก

“การสวดมนต์เหมือนการบอกประชาชนทางอ้อมว่าให้ยอมจำนนต่อโชคชะตา และยอมรับโดยสภาพว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว สุดท้ายแล้ว นายกฯ เองนั่นแหละที่จะโดนประชาชนสวดกันทั้งประเทศ” นายวิโรจน์กล่าว

และว่า เรื่องสวดมนต์ถือว่าขาดวุฒิภาวะอย่างมาก ประเทศนี้ไม่ต้องมีนายกฯ แล้ว แต่งตั้งปุโรหิตหรือพ่อมดหมอผีแทนดีหรือไม่

ขณะที่ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย บอกว่า

“ในขณะที่พี่น้องเดือดร้อนหนักจากน้ำท่วม ไม่มีผู้นำประเทศคนไหนในโลกที่บอกให้ประชาชนแก้ปัญหาด้วยการให้ไปปลูกบ้าน 2 ชั้นเพื่อหนีน้ำ และยิ่งสร้างนิวโลว์ที่สุด คือการบอกให้ประชาชนสวดมนต์ไล่พายุ ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าท่านโง่ เวรกรรมอะไรของคนไทยที่ต้องมาเจอนายกฯ แบบนี้”

ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคาร์ปาร์ก คนเสื้อแดง หยิบเรื่องคุยกับวัว มาโพสต์แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “เป็นประชาธิปไตยกันใหญ่แล้วนายกฯ ลงพื้นที่ฟังความเห็นวัวด้วยตัวเอง”

เช่นเดียวกับ นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย (สร.) กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่สารพันปัญหากำลังรุมเร้าบ้านเมืองทั้งโรคระบาด ความยากจนและน้ำท่วมซ้ำเติมอีก คนกำลังเดือดร้อนหนัก ผู้นำต้องแสดงความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาความทุกข์ยากให้กับประชาชนอย่างเอาจริงเอาจัง แทนการพูดล้อเล่นหรือ แสดงออกอย่างเหลาะแหละ ไม่เป็นโล้เป็นพายโดยการเล่นมุขคุยกับวัว

ไร้สาระและไม่ถูกกาลเทศะ

 

กระแส “ลบ” ที่โหมกระหน่ำยิ่งกว่าเขื่อนแตกดังกล่าว

ทำให้นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแก้

โดยขอความเป็นธรรมให้กับนายกฯ ด้วย ตนในฐานะโฆษกรัฐบาลได้ติดตามนายกฯ ลงพื้นที่น้ำท่วมสุโขทัย ยืนยันว่านายกฯ ไม่ได้บอกสวดมนต์ไล่น้ำ

แต่มีเจตนาให้ทำทุกอย่างเพื่อให้คลายความทุกข์ พร้อมรับสถานการณ์ นายกฯ และรัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่ทุกมาตรการ

ขณะที่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พยายามปกป้องอีกแรง โดยโพสต์รูป พล.อ.ประยุทธ์ยืนจับวัวพร้อมเขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

“#นายกฯ คุยกับวัว เมื่อมีนักการเมืองหลายท่านออกมา เสียดสี ต่อว่านายกฯ คุยเล่นกับวัว คือ พวกสันดาน หรือนิสัยที่ได้มาแต่กำเนิด แก้ไขไม่ได้ สันดานชอบแกว่งปากหาเรื่องนายกไปวันๆ ในความเป็นจริง เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่ คุยกับสัตว์เลี้ยงตัวเอง บางคนตั้งชื่อให้ด้วยซ้ำ อย่างวัวที่บ้านปารีณา ก็มีชื่อสมชัย ณัฐวุฒิ ล้วนแล้วแต่เป็นวัวสันดานเสียค่ะ #สันดานหาเรื่องนายก”

ดุเดือดตามสไตล์

แต่จะทำให้ภาพของผู้นำดีขึ้น ยังเป็นคำถาม

 

รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก เคยให้สัมภาษณ์ไว้ใน “มติชนสุดสัปดาห์” ถึงการสื่อสารทางการเมืองของผู้นำประเทศในยามวิกฤตว่า พล.อ.ประยุทธ์มีปัญหามาโดยตลอด ถือว่าสอบตก

เพราะขณะที่คนอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขา แล้วผู้นำจะนำพาชีวิตของเขาไปอย่างไร

แต่นายกฯ กลับแถลงยืดยาวมาก ไม่ตรงกับที่คนอยากฟังเลย

มัวแต่ไปพูดอะไรที่มันไม่ตรงประเด็น พูดไปเรื่อยไม่มีจุดมุ่งหมาย

กลายเป็นว่า ได้อารมณ์ขันว่านายกฯ พูดอะไรก็ไม่รู้ มีการสั่งสอนว่ากล่าวตักเตือนคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย

การสื่อสารทางการเมืองเป็นศาสตร์ที่มีพลังในการขับเคลื่อนประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าคิดว่าสื่อสารออกมาแล้วไม่เป็นประโยชน์ อย่าทำ ไม่ต้องสื่อสาร ถ้าไม่พร้อมก็อย่าพูด ถ้าพูดต้องพร้อม พูดแล้วประชาชนต้องได้ประโยชน์

หากคำพูดไม่เป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชน คนไม่เชื่อถือในสิ่งที่สื่อสารออกไปอันตรายมาก

 

นั่นคือสิ่งที่ รศ.ดร.นันทนาเตือนผู้นำประเทศ ด้วยความหวังดีและห่วงใยมาหลายครั้ง

ซึ่งสมควรล้างหูฟัง

ชาวบ้านเขาเดือดร้อนจากอุทกภัยแล้ว

ไม่ควรจะมาเผชิญ “โอษฐ์” ทกภัยอีก!