อนาคต ‘3 ป.-ธรรมนัส’ หลังเสร็จศึก ‘ฆ่าขุนพล’ เมื่อ ‘บิ๊กตู่’ ยังไม่ใช่ ‘สุจินดา 2’/เปลี่ยนผ่าน

เปลี่ยนผ่าน

ปรัชญา นงนุช

 

อนาคต ‘3 ป.-ธรรมนัส’

หลังเสร็จศึก ‘ฆ่าขุนพล’

เมื่อ ‘บิ๊กตู่’ ยังไม่ใช่ ‘สุจินดา 2’

 

ราวกับเป็น “มติ 3 ป.” ในการเชือด “ผู้กองมนัส-ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” อดีต รมช.เกษตรฯ และ “อาจารย์แหม่ม-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” อดีต รมช.แรงงาน พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี หลัง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลงดาบชนิด “ฟ้าผ่า” โดยอ้าง ม.171 ตามรัฐธรรมนูญ ถึงกระบวนการตัดสินใจและขั้นตอนทั้งหมด

ว่ากันว่าบิ๊กตู่เฝ้ามอง ร.อ.ธรรมนัสมาตั้งแต่หลังจบศึกซักฟอก ที่ทำให้นายกฯ ต้อง “เสียหน้า” หลังได้คะแนนไว้วางใจเกือบรั้งท้ายและได้เสียงไม่ไว้วางใจมากที่สุด

เมื่อไปเช็กเสียง ส.ส.ก็พบว่ามี “ปัจจัยแปรผัน” มาจาก “เสียงงูเห่า-เสียงพรรคเล็ก” นั่นเอง จึงทำให้ผู้กองมนัสตกเป็นเป้าทันที

พล.อ.ประยุทธ์จึงจับตาดูว่า ร.อ.ธรรมนัสจะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ โดยมีข่าวว่าเจ้าตัวตั้งใจยื่นหนังสือลาออกตั้งแต่ช่วงก่อนวันประชุม ครม. 7 กันยายน แต่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ “ติดเบรก” ไว้ก่อน

อย่างไรก็ตาม เพียงไม่ทันข้ามคืน บิ๊กตู่ก็ตัดสินใจลงดาบ “ผู้กองมนัส-อ.แหม่ม” สอดคล้องกับรายงานข่าวบรรยากาศในที่ประชุม ครม. ที่นายกฯ เมินใส่ทั้งคู่ และถึงขั้นไม่รับไหว้

 

“ปฏิบัติการเชือด” ครั้งนี้ คาดหมายกันว่าบิ๊กตู่ได้ตัดสินใจลงมือก่อนแจ้งบิ๊กป้อม “พี่ใหญ่ 3 ป.” แต่นายกฯ เลือกมาบอกกล่าวหลังทำทุกขั้นตอนเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น

ทำให้งานนี้ พี่ป้อมมีอาการ “เคืองๆ” กับการตัดสินใจของนายกฯ แต่ไม่ถึงขั้น “แตกหัก” ตามที่มีการปล่อยข่าวขย่มกลุ่ม “3 ป.” มาตั้งแต่ช่วงศึกซักฟอกในทำนองว่า “พี่ไม่เอาน้องแล้ว” จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาพูดถึงสายสัมพันธ์ “3 พี่น้องแห่งบูรพาพยัคฆ์” ที่ไม่มีใครทำลายได้ แม้ในใจส่วนลึก บิ๊กตู่จะมีอาการหวั่นไหวไม่น้อยก็ตาม

นี่คือมหกรรม “คมเฉือนคม” หรือ “ศึกสายเลือด จปร.” ระหว่าง “จปร.23” กับ “จปร.36” ที่ถือว่า “เล่นกันแรง” ทั้งสองฝ่าย หากจับบทสัมภาษณ์ผ่านสื่อที่เชือดเฉือนใส่กัน เช่นที่นายกฯ กล่าวหาอีกฝ่ายว่าไม่เป็นสุภาพบุรุษ และแอบอ้างเบื้องสูงว่าจะมีการเปลี่ยนผู้นำประเทศ เป็นต้น

ส่วน ร.อ.ธรรมนัสก็โต้กลับด้วยวาทะ ผมไม่ใช่สัตว์ประเภทที่เหยียบหางหน่อยแล้วมาแหกปาก หรือผมเป็นคนจำนานและจำดี ฯลฯ

 

ที่ผ่านมา “พี่น้อง 3 ป.” แบ่งกันทำงานเป็นระบบและไม่ค่อย “ล้ำเส้น” กันมากนัก แต่ปฏิบัติการเชือด “2 ช.” ของบิ๊กตู่ครั้งนี้ ทำให้บิ๊กป้อมเหมือนถูก “หักหน้า” ในฐานะ “พี่ใหญ่”

ยิ่งกว่านั้น เมื่อทั้ง “ผู้กองมนัส-อ.แหม่ม” พ้นภาระความรับผิดชอบใน ครม.ไปแล้ว ทว่ายังเหลือตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเลขาธิการกับเหรัญญิกพรรค นั่นก็ทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องเกิดอาการ “กลืนเลือด-กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” เพราะทั้งคู่ต่างเป็น “มือทำงาน” คู่ใจของตนเอง

อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามว่าคราวนี้ “3 ป.” ได้ “แบ่งบทกันเล่น” หรือไม่? ทั้ง “บทเชือด” และ “บทปลอบ” รวมทั้งมีการวิเคราะห์ไปถึงขั้นว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการ “เบี่ยงประเด็น” ทางการเมืองหรือไม่?

เนื่องจาก “แผงอำนาจ 3 ป.” เคยผ่านสถานการณ์ที่หนักหน่วงกว่านี้มาแล้วตลอดห้วงเวลา 13 ปี ซึ่งพวกเขาข้องแวะกับเกมอำนาจ ทั้งในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์, รัฐบาลสมัคร และรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ทั้งนี้ หลังเปลี่ยนผ่านอำนาจจากยุค คสช.มาสู่รัฐบาลเลือกตั้ง “3 ป.” ได้ร่วมสร้างพรรคพลังประชารัฐขึ้นมา ผ่านปฏิบัติการพลังดูด ส.ส.จากทั่วทุกสารทิศ จึงทำให้พรรคการเมืองพรรคนี้เป็นแหล่งรวมคน “หลากก๊กหลายมุ้ง” และเกิดการต่อรองอำนาจภายในอยู่ตลอด

จนผู้มีอำนาจต้องหาวิธี “กำราบ” และ “กำจัด” เหล่านักการเมืองทั้งหลาย

 

เริ่มต้นด้วย “ปฏิบัติการยึดพรรคคืน” จาก “ขั้วสี่กุมาร” โดยบิ๊กป้อมตัดสินใจออกหน้ามาเป็นหัวหน้าพรรคด้วยตัวเอง พร้อมแต่งตั้งรองหัวหน้าพรรคถึง 10 คน เพื่อ “กระจายอำนาจ” ไปยังทุกก๊ก นี่ถือเป็นการแก้ปัญหา “สไตล์ทหาร” ด้วยการเอาคนไปลงตำแหน่งต่างๆ เพื่อคานอำนาจกัน

แต่ปัญหาก็ไม่สิ้นสุดเพราะ “ความต้องการ” มีมากกว่าจำนวน “ตำแหน่ง” โดยเฉพาะศึกชิงเก้าอี้ “เลขาธิการพรรค” ที่เป็นการงัดข้อของ “3 สายพลัง” ได้แก่ “สายผู้กองมนัส-สายสันติ-สายสามมิตร”

แม้แต่ “ขั้ว กปปส.” ที่เคยเรืองอำนาจในพรรคพลังประชารัฐก็ถูกกำจัดออกไป ด้วยอุบัติเหตุทางการเมืองจากคดีชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมาถึงการ “สลายขั้วผู้กอง” ที่กำลังแผ่บารมี หลังการ “สะดุดขาตัวเอง” ของ ร.อ.ธรรมนัส

จึงเป็นที่ชัดเจนว่า “3 ป.” พร้อมจัดการก๊กกลุ่มต่างๆ ทันที หากขั้วใดแสดงอำนาจโดดเด่นออกมา ตามสำนวน “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ที่ผ่านมา 3 ภาคแล้ว

แต่สิ่งที่ “3 ป.” จะต้องมองหาก็คือ “ทายาททางการเมือง” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยชื่อล่าสุดที่ถูกพูดถึง ได้แก่ “ปลัดฉิ่ง-ฉัตรชัย พรหมเลิศ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ โดยมีการคาหมายว่าปลัดฉิ่งอาจมาร่วม ครม.ในตำแหน่ง รมช.มหาดไทย เพราะที่ผ่านมามีข่าวลือตลอดว่า ปลัดกระทรวงคลองหลอดได้ปูทางทำ “พรรคสำรอง” เอาไว้

ทั้งนี้ “ปฏิบัติการเชือดธรรมนัส-นฤมล” ของนายกฯ ถูกมองว่าเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เพื่อไม่ให้ใครในรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล “คิดก่อกบฏ” ขึ้นมาอีก

ทว่าบิ๊กตู่ต้องเร่งทำงานที่ค้างคาโดยเร็วและออกหาเสียงให้มากขึ้น เพราะปี่กลองของศึกเลือกตั้งกำลังดังขึ้นตามลำดับ นำร่องด้วยการเลือกตั้ง อบต. ซึ่งถือเป็นการเช็กกระแสและสแกนพื้นที่ เพื่อวางแผนการเลือกตั้งใหญ่ต่อไป

 

สําหรับอนาคตของ ร.อ.ธรรมนัส ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีแนวคิดกลับไปทำการเมืองแบบ “จังหวัดนิยม-ภูมิภาคนิยม” ซึ่งขับเคลื่อนด้วยคอนเน็กชั่นอันกว้างขวาง

ผู้กองมนัสนั้นมีหน่อเนื้อเชื้อไขมาจากพรรคเพื่อไทย จึงรู้จัก ส.ส.ฝ่ายค้านจำนวนมาก โดยเฉพาะสายภาคเหนือและอีสาน ผ่านการประสานงานของขุนพลข้างกายอย่าง “เอกราช ช่างเหลา” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ กระทั่งมีการผุดชื่อ “พรรคใหม่” ของ ร.อ.ธรรมนัสขึ้นมา เช่น พรรคพลังพะเยา และพรรคอีสานล้านนา เป็นต้น

ยังมีการจับตาด้วยว่า ร.อ.ธรรมนัสจะออกมาแฉ “3 ป.” หรือไม่ เพราะเคยเปรียบเทียบตัวเองเป็น “เส้นเลือดใหญ่พลังประชารัฐ” ที่เก็บกุมความลับไว้เยอะ

แต่บางฝ่ายก็เชื่อว่าผู้กองคนดังคงจะไม่แฉอะไรแบบโจ๋งครึ่ม เพราะยังเคารพ พล.อ.ประวิตรอยู่ เนื่องจาก “พี่ใหญ่ 3 ป.” เคยให้ความช่วยเหลือเมื่อครั้งเขาติด “แบล็กลิสต์อันดับต้นๆ” ในยุค ศอฉ.-คสช.

ขณะเดียวกัน “คนในวิถีนักเลง” เช่น ร.อ.ธรรมนัส ก็มีบาดแผลชีวิตอยู่ไม่น้อย การเลือกออกมาเปิดแผลคนอื่น จึงมีโอกาสถูกเปิดแผลกลับเช่นกัน

 

อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่าอดีต รมช.เกษตรฯ เคยประกาศลั่นที่สภาว่าตนเองเป็นคน “จำนาน-จำดี” แถมเขายังไม่มีแนวโน้มจะหันหลังให้การเมือง แม้เจ้าตัวจะพบทราบถึง “ชะตากรรม/วิบากกรรม” ที่ต้องเผชิญในภายภาคหน้าก็ตาม

“ผมผ่านความเป็นความตายมามากพอแล้วในชีวิตผม เพราะฉะนั้น หนทางที่จะก้าวไปข้างหน้ามันจะมีหลุม มีบ่อ มีเหว เราก็ต้องมีความเตรียมพร้อม”

ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนภาวะ “สนิมเนื้อใน” ที่กัดกร่อน “3 ป.” มาโดยตลอด ท่ามกลางสภาพการณ์การเมืองไทยร่วมสมัย ที่หลายคนมองว่าเริ่มสอดคล้องกับบริบทแบบ “พฤษภาฯ 2535” และกลิ่นอายแบบ “นปช. 2552-2553”

แม้ “3 ป.” จะรอดพ้นภัยพิบัติจาก “ขบวนการล้มนายกฯ” ระลอกล่าสุดไปได้ แต่หากวันใดพวกเขาไหวตัวไม่ทัน ก็อาจกลายสภาพเป็น “สุจินดา 2” ได้ทุกเมื่อ

นี่คือบทตอนต่อไปที่ต้องติดตามชนิดไม่กะพริบตา