เรื่องสั้น : สุนัขที่ตายบนปฏิทินเดือนกรกฎาคม / อินทร อรพัน

เรื่องสั้น / อินทร อรพัน

 

สุนัขที่ตายบนปฏิทินเดือนกรกฎาคม

 

ขณะสวมรองเท้านักเรียน แว่วเสียงสิ่งมีชีวิต เงียบ… เงี่ยหูฟัง ก่อนสะกดรอยต้นเสียงไปอย่างระมัดระวัง ชะลอฝีเท้า เงี่ยหูฟังอีกครั้ง ชัดเจนขึ้นมาหน่อย แต่ขาดหายไปบางช่วง เริ่มเดาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด เหลียวหน้าแลหลังระวังตัว ชะโงกหน้ามองข้ามเครื่องปั๊มน้ำที่อยู่ข้างบ้านทิศตะวันตกไปยังกองผ้าขี้ริ้ว พบลูกสุนัขสองตัวนอนขดหลับตาปี๋

มีเวลาไม่มากเพราะจะไปโรงเรียนสาย สำรวจลักษณะของมันคร่าวๆ สีน้ำตาลทั้งคู่ ไม่ยักเห็นแม่มัน คิดได้ดังนั้นก็สยองที่น่องขา ระแวดระวัง ก่อนย้อนกลับเข้าบ้านอีกครั้ง นำเสื้อที่ไม่ใช้แล้วมาเพิ่มความอบอุ่นให้กับสิ่งมีชีวิตสองตัว

เดินไปหน้าปากซอย ห่างจากบ้านไม่ไกล พบสุนัขนอนตายอยู่ริมถนน นึกถึงเสียงเบรกรถยนต์กะทันหันเมื่อคืน รอยล้อยังอยู่ คงจวนตัว ตกใจ เบรกตัวโก่ง แต่ไม่ทัน เจ้าของรถคงจอดดูความเสียหายของกันชนหน้า อาจไม่เหลียวมองสุนัขด้วยซ้ำ ก่อนจะก่นด่าเจ้าของสุนัขถ้าหากมี

ครั้นอยู่บนรถประจำทาง เฉลียวใจว่าสุนัขที่ตายมีลักษณะคล้ายเจ้าสองตัวที่บ้าน หายใจไม่ทั่วท้อง กังวลใจ ปลอบใจตัวเองว่าสุนัขทุกตัวเหมือนกันหมดนั่นแหละ ภาวนาว่าไม่ใช่ หากกลับจากโรงเรียนและพบว่าเจ้าสองตัวนอนดูดนมแม่อยู่ ก็คงผิดหวังเล็กๆ เหมือนกัน เพราะไม่อาจเข้าไปหยอกล้อกับเจ้าสองตัวได้ แต่หากโชคร้าย สุนัขที่ตายอยู่ริมทางคือแม่ของพวกมัน เราคงมีชะตากรรมไม่ต่างกัน เพียงแต่พ่อ-แม่ของฉันยังอยู่ แต่สถานะความเป็นครอบครัวค่อนข้างคลอนแคลน

บ่อยครั้งแอบได้ยินแม่คุยโทรศัพท์ เดาไม่ยากว่าปลายสายคือใคร เพราะจะมีกี่คนกันเชียวที่ทำให้แม่เสียน้ำตาได้ บทสนทนาเป็นการขอความเห็นใจ เว้าวอนให้คนที่อยู่ปลายสายคิดถึงคนที่อยู่ข้างหลัง แต่กลับไม่มีบทสรุปใดๆ แม่เก็บงำเสียงสะอื้นไห้ไว้ในใจ สะท้อนอยู่ในอก และถ่ายทอดความเจ็บปวดลงในนิยายหรือเรื่องสั้น ที่จะถูกส่งไปตามนิตยสารหรือเวทีการประกวดต่างๆ ฉันคิดว่ามันไม่ถูกจุดประสงค์ เพราะคนที่ควรได้อ่านงานเขียนของแม่มีเพียงคนเดียว คือพ่อเท่านั้น

มันไม่ใช่วรรณกรรม แต่เป็นความพังพ่ายในจิตใจของแม่…

 

พ่อไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับที่อื่น กลายเป็นความไม่เที่ยงในความรู้สึกของพวกเราสองแม่ลูก เรื่องภาระค่าใช้จ่ายที่เคยได้จากพ่อก็ลดน้อยถอยลง บ่อยครั้งแม่บากหน้าไปยืมเพื่อนบ้านหรือญาติพี่น้อง แม้อับอายแต่ก็ต้องทำ ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ

ช่วงที่พ่อกลับมาบ้าน ถามไถ่ถึงการเรียนของฉันพอเป็นพิธี ใช้ชีวิตภายในบ้านราวกับว่า การกระทำที่เคยทำร้ายความรู้สึกแม่กับฉันเป็นโมฆะเมื่อพ่อกลับมาถึงบ้าน พ่อจะสังเกตไหมว่าแม่ผมสั้นลง? ทั้งที่เป็นคนรักผมประหนึ่งชีวิต จะรู้สึกถึงความบึ้งตึงในตัวฉันหรือเปล่า? แล้วจะแปลค่ามันออกไหม?

พ่อนั่งดูข่าวทีวีบนโซฟาเช่นที่เคยทำมา ก่นด่าเยาวชนในที่ชุมนุมว่าก้าวร้าว ไม่มีสัมมาคารวะ และไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้ว่าพ่อได้ยินสิ่งที่เยาวชนเหล่านั้นพูดหรือเปล่า และพ่อจะรู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมก้าวร้าวเหล่านั้นก็เป็นภาษากายอย่างหนึ่ง เพียงพ่อเปิดใจ และเงี่ยหูฟังภาษาเหล่านั้น แล้วจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาพยายามจะสื่อสาร

ฉันไม่ใช่คู่กรณีโดยตรงจึงแสร้งพูดคุยกับพ่อเช่นคืนวันเก่าๆ แต่แม่ซึ่งเป็นคู่กรณีโดยตรงควรที่จะอาละวาด ด่าทอ หรือเมินเฉยใส่ให้สมกับความผิดบาปของพ่อ แต่นี่อะไร! ครั้นตกดึก กลับยอมมีเซ็กซ์กับพ่อ

แน่ละ! ห้องนอนเราติดกัน ฉันได้ยิน

 

ครั้นกลับจากโรงเรียน ฉันมุ่งตรงไปบริเวณเครื่องปั๊มน้ำ ไร้วี่แววของแม่หมา จึงแน่ชัดแล้วว่าฉันกับลูกหมาตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน เพียงแต่ฉันโชคดีกว่าหน่อย พ่อ-แม่ยังอยู่ครบ แต่ในส่วนของความรู้สึก พ่อได้ตายจากไปแล้ว

ฉันย้ายลูกหมามาไว้ในกล่องกระดาษ กังวลเรื่องชื่อของพวกมันขณะป้อนนมจากสำลี ต้องเป็นนมแพะเท่านั้น นมอื่นลูกหมาอาจท้องเสียได้ คิดไม่ตกเรื่องชื่อ แต่เชื่อว่าอีกประเดี๋ยวก็คิดออก เป็นจริงอย่างที่หมายใจไว้ “ออเร้น กับ เยลโล่” จู่ๆ ก็รู้สึกหวงแหนขึ้นมา ฉันลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของพวกมัน จริงอย่างที่เคยได้ยินมา หมาตัวผู้ไม่เลี้ยงลูก ป่านนี้หายหัวไปไหนไม่รู้ ไม่เยี่ยมหน้ามาดูลูกเต้า

พ่อหายหน้าไปอีกแล้ว ปฏิทินถูกฉีกทิ้งโยนออกจากหน้าต่างห้องนอนแม่ แม่อาจนับวันเวลาที่รอคอย หรือนับวันเดือนแห่งความเศร้า จะอย่างไรก็ตาม ฉันขอเพียงแค่แม่อย่าได้นับหยดน้ำตาของตัวเอง ฉันเคยเอาหูแนบผนัง พยายามฟังเสียงความรู้สึกที่อบอวลอยู่ในห้องของแม่

วันเวลายังคงเดินไปอย่างต่อเนื่องตามปฏิทินที่ถูกฉีกขาด พ่อแทบจะกลายเป็นคนอื่น แต่หมาสองตัวที่กำลังเจริญวัยกลายเป็นครอบครัวของเรา

พ่อกลับมาอยู่บ้าน คราวนี้อยู่นานกว่าปกติ พ่อยังเป็นคนแปลกหน้าของเจ้าหมาสองตัว จึงไม่แปลกใจที่มันจะเห่ากระโชกในทุกครั้งที่พ่อกลับมาจากที่ทำงานหรือที่อื่น พ่อจึงแก้ปัญหาด้วยการถือขนมหรือลูกชิ้นติดมือมาในทุกเย็น หวังสร้างมิตรภาพ

ใช้ได้ผลกับเจ้าเยลโล่ แต่ไม่ได้ผลกับเจ้าออเร้น

ทุกครั้งที่พ่อเข้ามาจอดรถที่ลานบ้าน เจ้าเยลโล่จะกระดิกหางวิ่งไปต้อนรับพ่อที่ประตูฝั่งคนขับ เพื่อรับของกินเป็นรางวัลตอบแทน ต่างกับเจ้าออเร้น ที่ตั้งหลักเห่าตั้งแต่ได้ยินเสียงรถของพ่อ กระทั่งพ่อเดินเข้าไปในบ้าน

“เลี้ยงไม่เชื่อง” พ่อพูดก่อนหันมองค้อนเจ้าออเร้น

 

รุ่งเช้าวันหนึ่ง มีเสียงเอะอะโวยวายจากหน้าบ้าน ครั้นถึงจุดเกิดเหตุ ฉันจึงทราบว่ารองเท้าของพ่อถูกประทุษร้าย จำเลยเป็นใครไม่ได้เลย นอกจากเจ้าสุนัขสองตัว ฉันคาดเดาว่าพ่อต้องเอนเอียงเข้าข้างเจ้าเยลโล่ และป้ายความผิดให้เจ้าออเร้น ทว่าหลักฐานมัดตัวไม่แน่นพอ พ่อจึงทำได้แค่พูดลอยๆ ถึงบทลงโทษขั้นสูงสุด หากจับได้ว่าเป็นตัวใด

เจ้าเยลโล่เดินตามต้อยๆ ไปส่งพ่อที่หน้าประตูรถ ที่หอบสีหน้าไม่พอใจกับรองเท้าที่ฉันเห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรมากไปทำงาน

“ไม่ให้พ่อไปส่งแน่นะ” ฉันพยักหน้าขณะสวมรองเท้านักเรียน

“ฝีมือแกหรือเปล่าเจ้าออเร้น หรือเป็นฝีมือเจ้าเยลโล่?” ฉันลูบหัวปลอบใจเจ้าออเร้น ที่มีแววตาหวาดกลัวและตัวสั่นงันงกอยู่ในขณะนี้

ครั้นรถพ่อคล้อยหลัง เจ้าเยลโล่ก็ผละมา และวิ่งตรงเข้ามาเบียดบังเจ้าออเร้น ก่อนประจบออเซาะเลียแข้งเลียขา

“ฝีมือแกหรือเปล่าเจ้าเยลโล่” ฉันง้างมือทำท่าจะฟาดปากเพื่อจับพิรุธ เจ้าเยลโล่ย่นหน้าหลับตาดึงตัวถอยหลัง ก่อนวิ่งหายไปบริเวณที่มันถือกำเนิด

ช่วงเย็นบนโต๊ะอาหาร นานเท่าใดที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากัน แทนที่จะชื่นมื่น กลับเย็นชาและบึ้งตึงต่อกัน

พ่อและแม่พูดคุยกันถึงบางสิ่ง และเลี่ยงที่จะไม่พูดตรงๆ เพื่อให้ฉันจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็พอคาดเดาได้ว่าเรื่องที่คนทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวข้องกับเงิน และโลกอีกใบของพ่อ

“แม้บ้านหลังนี้จะเป็นชื่อคุณ แต่ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวของฉัน” แม่พูดเพียงเท่านี้ แต่กิริยาอาการของพ่อแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน ถึงแม้จะพยายามเก็บงำมันไว้อย่างเต็มที่แล้ว เพราะอยู่ต่อหน้าลูก

เช้าวันถัดมารองเท้ากระจัดกระจายหน้าประตูบ้าน แต่คู่ที่เสียหายกลับเป็นรองเท้าของพ่อ เจ้าเยลโล่อ่านสถานการณ์ออกผละหนีไปอยู่หลังบ้าน เหลือเพียงเจ้าออเร้นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เลียแข้งเลียขาทำความสะอาดตัวเองอยู่ ถูกพ่อคว้าปลอกคอไว้ได้ พ่อใช้รองเท้าหนังพื้นหนาฟาดไปที่ปากเจ้าออเร้นอย่างเคียดแค้น ไม่ทันที่ฉันจะเข้าไปขวาง เจ้าออเร้นก็คำรามจะแว้งกัดพ่อ จนพ่อต้องชักมือหนี ครั้นหลุดพ้นพันธนาการ เจ้าออเร้นก็วิ่งหนีไปขณะที่มีรองเท้าขว้างไล่หลัง

ฉันรู้ว่าอาการพิโรธวาทังของพ่อ ไม่เฉพาะแค่เรื่องรองเท้าเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก ซึ่งสุมรุมอยู่ในอกต่างหาก การประทุษร้ายกับเจ้าออเร้น เป็นเพียงการระบายความอัดอั้นตันใจของพ่อเท่านั้น

 

ครั้นพ่อออกจากบ้านไป ฉันพยายามเรียกหาเจ้าออเร้นหวังปลอบประโลม ทว่าตัวที่เสนอหน้ากลับเป็นเจ้าเยลโล่ “ไปตามน้องมาซิ” (เจ้าเยลโล่ตัวใหญ่กว่าจึงถูกยกให้เป็นพี่) ฉันเดินลัดเลาะไปริมรั้วบริเวณเครื่องปั๊มน้ำแต่ไร้วี่แวว ลังเลว่าจะค้นหาต่อหรือไม่หลังจากยกข้อมือดูนาฬิกา เจ้าเยลโล่ยังเดินตามติดไม่ห่าง “ฝากดูน้องด้วย ฉันไปโรงเรียนก่อนนะ”

ตลอดวันที่อยู่โรงเรียน ฉันคิดถึงการกระทำของพ่อว่ามันถูกต้องและยุติธรรมแล้วหรือ ที่ลงโทษโดยไม่สืบสาวราวเรื่องให้ชัดเจนเสียก่อน ว่าเป็นตัวไหนกันแน่ที่ก่อเหตุ และแม่ก็เคยเตือนพ่อแล้วว่า ให้นำรองเท้าไปไว้ในบ้าน เพราะหมามันอาจไม่คุ้นเคยกลิ่นและถือเป็นคนแปลกหน้า ใช่! มีอารมณ์เหน็บแนมอยู่ในน้ำเสียงของแม่ และเป็นไปอย่างที่ฉันคาด พ่อตอบโต้ โดยบอกกับแม่ว่า ทุกตารางนิ้วในบ้านหลังนี้เป็นของพ่อ ซึ่งพ่อจะวางรองเท้าไว้ส่วนไหนก็ได้ทั้งนั้น

หลังเลิกเรียน ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันคิดไม่ตกว่าตัวไหนกันแน่เล่นงานรองเท้าพ่อ ไม่มีอะไรชี้ชัดเลยว่าเป็นตัวใด ในนามของมนุษย์ควรใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา และจะไม่ลงโทษผู้ใดจนกว่าจะแน่ชัดในหลักฐาน ฉันพยายามหาทางออกให้กับปัญหา เพื่อปกป้องสวัสดิภาพเจ้าสุนัขสองตัว โดยอาจนำรองเท้าของพ่อไว้จุดสูงสุดของชั้นวางรองเท้าที่อยู่หน้าบ้าน หรือไม่ก็ไว้ภายในบ้านอย่างที่แม่เสนอ

พอฉันกลับถึงบ้านก็พบเจ้าออเร้นถูกล่ามไว้ด้วยสายจูงที่ฉันซื้อมาทิ้งไว้ตากแดดตากฝนเมื่อนานมาแล้ว ส่วนเจ้าเยลโล่เป็นอิสระ หยอกล้อเล่นอยู่กับพ่อ รู้สึกแปลกใจที่พ่อกลับบ้านไวกว่าปกติ และที่แปลกใจมากกว่า ช่วงนี้พ่ออยู่ติดบ้าน

ฉันกวาดสายตาไปบริเวณชั้นวางรองเท้า พบรองเท้าคัตชูใหม่เอี่ยม ดำมะเมื่อมมันวาวเป็นประกาย ก่อนตรงไปยืนต่อหน้าพ่อ

“ไม่ยุติธรรม พ่อรู้ได้ไงว่าเป็นฝีมือเจ้าออเร้น” ฉันกวาดสายตาไปทางเจ้าออเร้นที่กำลังพยายามพาตัวเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการเพื่อเข้ามาหยอกล้อกับฉันดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่าทำไม่ได้ หน้าที่ดังกล่าวจึงตกอยู่ที่เจ้าเยลโล่

ฉันเดินไปหาเจ้าออเร้นลูบหัวปลอบประโลม แต่เจ้าเยลโล่ก็ยื่นหน้ามาเบียดบังขอความอบอุ่นด้วยเช่นกัน

“หนูจะปล่อยมัน” ฉันหันไปมองพ่อ

“ไม่ได้…มันกัดรองเท้า” พ่อจ้องหน้าฉันตอบเสียงแข็ง ก่อนผละสายตาไปมองรองเท้าคู่ใหม่

“หลักฐาน” พ่ออ้ำอึ้ง

“งั้นล่ามไว้ทั้งสองตัว” ฉันเสนอ

“ดีเหมือนกัน จะได้รู้ว่าตัวไหน” พ่อเห็นด้วย

 

ฝนพรำในช่วงค่ำ บรรยากาศรอบบ้านตกอยู่ในมือของความชุ่มชื่น ฝนกระทบหลังคาเห่กล่อมชวนหลับฝัน บางห้วงอารมณ์ก็ชวนเหงา คิดคำนึง และได้ทบทวนตัวเอง

เมื่อช่วงเย็นบทสนทนาระหว่างฉันกับพ่อช่างห้วน ตรงไปตรงมา และดูห่างเหิน อาจเป็นเพราะฉันห่วงสวัสดิภาพของเจ้าหมาสองตัว หรือมองเห็นความไม่เป็นธรรม หรือฉันเป็นผู้ใหญ่ขึ้น หรืออคติส่วนตัวที่ทำให้ฉันพูดจากับพ่อไปเช่นนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ฉันมีสิทธิที่จะแสดงออกต่อพ่อ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว

แม่ก็ควรทำเช่นกัน เพราะการกระทำของพ่อกระทบกระเทือนใจแม่มากที่สุด แม่ควรมีสิทธิที่จะชี้หน้าด่าพ่อ มากกว่าการเก็บงำความเจ็บปวดไว้ในใจ แม่ควรมีสิทธิด่านางนั้น มากกว่าถ่ายทอดความขมขื่นลงในนิยายหรือเรื่องสั้นบ้าๆ นั่น ฉันอยากให้แม่ตะเบ็งเสียงให้ดังก้องต่อหน้าพ่อ เรียกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิที่แม่ควรได้รับในฐานะการเป็นภรรยา ไม่ใช่บื้อใบ้อย่างน่าสมเพชเช่นทุกวันนี้

กลางดึกความมืดเข้มข้นทุกคนภายในบ้านหลับใหล เจ้าสุนัขสองตัวเห่ากระโชกกรีดราตรี ส่งต่อให้สุนัขบ้านใกล้เรือนเคียงทำแบบเดียวกันส่งต่อไปเป็นทอดๆ เสียงเห่าสลับเสียงกระตุกสายจูงดังขึ้นต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง ก่อนจะเงียบหายไป

บรรยากาศฝนพรำทำให้ทุกคนในบ้านหลับสนิท แม้เสียงเจ้าสุนัขสองตัวจะระคายนิทรารมณ์ไปบ้าง แต่ก็คร้านที่จะลุกมาดุพวกมันสองตัว ฉันเองก็เช่นกัน แม้ได้ยินถนัดถนี่ที่สุดเพราะห้องอยู่ติดลานหน้าบ้านบริเวณที่ล่ามเจ้าสุนัขสองตัว แต่ความรำคาญเพียงครู่ก็ไม่อาจปลุกให้ฉันลุกจากที่นอนได้

แสงแดดสีเหลืองอ่อนทแยงลำแสงมาจากช่องกระจกเหนือหน้าต่าง เสียงวิหคระเริงแดดขับขานชวนสดับ ฉันได้ยินเสียงพ่อตะล่อมเรียกเจ้าออเร้นอย่างผูกมิตร ฉันจึงลุกจากเตียงไปเปิดหน้าต่างรับแสง

จากจุดนี้ฉันมองเห็นพ่อแค่ครึ่งตัวจากมุมสูง กำลังยื่นไส้กรอกไปทางเจ้าออเร้นที่ขณะนี้หลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว มันย่อตัวเล็กน้อยย่างเข้าหาพ่ออย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ด้วยกระแสเสียงของพ่อที่เป็นมิตรบวกกับอาหารที่ชวนหิว มันจึงตัดสินใจเดินเข้าไป

ฝ่ายเยลโล่เห่ากระโชกกระตุกสายจูงที่เปื่อยจวนเจียนจะขาดขออิสรภาพ แต่จุดหมายที่แท้จริงของมันน่าจะเป็นอาหารที่อยู่ในมือพ่อมากกว่า

ขณะที่ปากยาวยื่นจะงับไส้กรอกในมือซ้ายพ่อ มือขวาที่ถูกบังตาอยู่นั้นก็ตวัดพร้อมกับค้อนในมือฟาดไปเต็มแรงเข้าที่หัวเจ้าออเร้น ฉันรู้ว่าตัวเองกรีดร้อง ไม่แน่ชัดว่าอารามตกใจ หรือตะโกนให้เจ้าออเร้นรู้ตัวถึงอันตราย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ดวงตาเบิกกว้าง ชะงัก เงียบงัน หูอื้อ แม้ความจริงจะมีเสียงเจ้าออเร้นร้องโหยหวนด้วยเจ็บปวดดังก้องอยู่ก็ตาม

ฉันพบตัวเองอยู่หน้าบ้านขณะที่เจ้าออเร้นหอบเสียงโหยหวนและร่างกายที่เจ็บปวดหายไปจากจุดเกิดเหตุแล้ว ทิ้งเพียงหยดเลือดเอาไว้ตามรายทาง

เสียงเดือดดาลของพ่อยังไม่จาง ด่าทอไม่หยุดปากขณะก้มมองรองเท้าคู่ใหม่เอี่ยมที่เหลือเพียงข้างเดียว พ่อเริ่มอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฉันและแม่ฟัง ว่าเช้านี้ขณะจิบกาแฟทอดอารมณ์ต้อนรับวันหยุด พ่อก็พบว่าเจ้าออเร้นหลุดจากพันธนาการ จึงเริ่มเอะใจ ตรวจสอบชั้นรองเท้า เป็นไปตามคาด รองเท้าข้างหนึ่งของพ่อหายไป

ทุกคนในครอบครัวช่วยกันออกตามหารองเท้า แต่เป้าประสงค์ที่แท้จริงของฉันคือตามหาเจ้าออเร้น เราสามคนเดินลัดเลาะไปทางซ้ายของตัวบ้าน ควานหาตามซอกมุมที่คิดว่าจะพบ

และเป็นฉันเองที่ก้มไปมองใต้ท้องรถ ก่อนผงะเผลอกรีดร้อง

 

หลังจากที่รถถูกเคลื่อนย้าย พบซากงูเห่านอนตายใกล้กับรองเท้าอีกข้างของพ่อ ฉันเบือนหน้าหนี ราวกับภาพตรงหน้าเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรง

พ่อและแม่แยกย้ายกันเข้าบ้านไป ส่วนฉันพาร่างกายสั่นเทาและหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอกมายืนอยู่หน้าพงหญ้าหลังบ้าน หยดเลือดราดรดเป็นทางบนวัชพืชไร้ค่า ฉันพาตัวเองเดินตามร่องรอยความเจ็บปวด พยายามสกัดกันอารมณ์ไม่ให้อ่อนไหวไปมากกว่านี้ แล้วโศกนาฏกรรมที่แท้จริงก็ปรากฏ ฉันพบร่างเจ้าออเร้นนอนสิ้นใจบนกระดาษปฏิทินเดือนกรกฎาคม กระดาษปฏิทินที่แม่ฉีกในทุกเดือนเพื่อนับวันเวลาแห่งความเจ็บปวด ฉันหันหลังกลับ น้ำตานองหน้า ตั้งใจไว้ว่าจะไม่กลบฝังเจ้าออเร้น ฉันต้องการให้ซากศพส่งกลิ่นเหม็นเน่า เพื่อให้กลิ่นที่ชวนคลื่นเหียนที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

เป็นสิ่งทดแทนเสียงเห่าของเจ้าออเร้นที่หายไป