ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความนับถือ
กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 29)
ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564
และให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2564
สาระสำคัญ ข้อกำหนดตอนหนึ่ง “ห้าม”
“การเสนอข่าวหรือการทําให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทําให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั่วราชอาณาจักร”
นำไปสู่ “ความไม่เห็นด้วย” อย่างกว้างขวาง
ความไม่เห็นด้วยในส่วนกฎหมาย
สะท้อนผ่านกลุ่มคณาจารย์นิติศาสตร์ในสถาบันต่างๆ รวม 70 คน ที่ร่วมกันออกแถลงการณ์
ชี้ว่าในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้รัฐสามารถจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้
แต่ก็ไม่สามารถระงับการใช้สิทธิเสรีภาพได้อย่างสิ้นเชิง
การจำกัดสิทธิฯ ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง
ภายใต้หลักความได้สัดส่วนพอสมควรแก่เหตุ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่มีสภาพบังคับเป็นโทษทางอาญา
ข้อกำหนดดังกล่าวมีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างแจ้งชัด
อย่างการห้ามเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มี “ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว” นั้น
เท่ากับเป็นการห้ามประชาชนมิให้ใช้เสรีภาพในการแสดงออก
และห้ามสื่อมวลชนมิให้ใช้เสรีภาพในการนำเสนอข่าว
เพราะบุคคลดังกล่าวย่อมไม่แน่ใจว่า คำพูด การแสดงออก หรือการนำเสนอข่าวสาร จะผิดกฎหมายหรือไม่
ส่งผลให้ประชาชนและสื่อมวลชนส่วนหนึ่งอาจเลือกที่จะไม่แสดงออกหรือไม่นำเสนอข่าวเลย (chilling effect)
ทั้งๆ ที่ข้อมูลดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ด้วยเกรงผลทางกฎหมายที่จะตามมา
ดังนั้น ข้อกำหนดนี้จึงมิใช่มาตรการที่เหมาะสมแต่อย่างใด
ความไม่เห็นด้วย ในส่วนนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน
สะท้อนผ่านแถลงการณ์กลุ่มอาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่ระบุว่า การออกข้อกำหนดห้ามนำเสนอข่าวเช่นนี้
ย่อมขัดต่อสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ขัดต่อหลักสากลอันว่าด้วยสิทธิมนุษยชนด้านเสรีภาพในการแสดงออก
ขัดต่อหลักการทำงานโดยอิสระของสื่อมวลชนอย่างชัดแจ้ง
หากรัฐบาลมีข้อกังวลเรื่องการส่งต่อข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ (Fake News) ในช่วงวิกฤตนี้
ขอเรียกร้องให้มีการบังคับใช้ข้อกฎหมายเท่าที่มีอยู่
เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ในส่วนของการดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาท ฯลฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมว่ารัฐบาลศรัทธาในความเที่ยงธรรมของระบบตุลาการ
โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาข้อกำหนดเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ในเชิงวิชาชีพ “กาแฟดำ” หรือ “สุทธิชัย หยุ่น”
ในฐานะตัวแทนสื่ออาวุโส
นอกจากนำเอา “จดหมายเปิดผนึก” ของ 6 องค์กรสื่อที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี คัดค้านเรื่องนี้
มานำเสนอผ่าน “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้แล้ว
ยังตั้งคำถามอันแหลมคม
…ใครเป็นผู้ทำให้ ‘ประชาชนหวาดกลัว’ กันแน่?
ถ้ารัฐบาลไม่รู้ความแตกต่างระหว่างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามสิทธิของประชาชน รัฐบาลกับ “ข่าวปลอม”
ถ้าผู้มีอำนาจไม่รู้ว่า “ความมั่นคงของรัฐบาล” ไม่ใช่เรื่องเดียวกับ “ความมั่นคงของรัฐ”
และถ้าผู้นำประเทศเหมาเอาว่า “ความกลัว” จะสูญเสียอำนาจมาจากการแพร่ข้อมูล และความเห็นนั้นจะทำให้เกิด “ความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน”
ก็วิเคราะห์ได้ไม่ยากว่า
รัฐบาลแพ้สงครามการสู้รบกับโควิด-19 แน่นอน
ทำไม “กาแฟดำ” จึง “ขมปี๋” สำหรับผู้มีอำนาจเช่นนั้น