ไม่เปลี่ยนนายกฯ ประเทศไม่มีทางพ้นวิกฤต : ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เดือนกรกฎาคมกำลังจะผ่านไปโดยที่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยในประเทศไทย

ผู้ติดเชื้อซึ่งต้นมิถุนายนอยู่ที่วันละ 2 พันกว่าๆ ทะลุเป็นหนึ่งหมื่นภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์

ส่วนผู้เสียชีวิตซึ่งเคยอยู่วันละสามสิบเศษๆ ก็พุ่งขึ้นมาเป็นวันละร้อย

มิหนำซ้ำยังไม่มีวี่แววว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อและตายจะลดลงจากตอนนี้แม้แต่นิดเดียว

ประเทศไทยเริ่มมีผู้ติดเชื้อเขตราวๆ วันละหมื่นในวันที่ 16 กรกฎาคม และหลังจากนั้นยังไม่เคยมีวันไหนที่ผู้ติดเชื้อต่ำกว่าหมื่นอีก

นั่นแปลว่าหกวันหลังจากนั้นเราพบผู้ติดเชื้อแล้วเจ็ดหมื่น

และแปลว่าภายในเดือนกรกฎาคมเราจะมีผู้ติดเชื้อสะสมเกือบ 6 แสนราย รวมทั้งอาจมีผู้ติดเชื้อที่ต้องอยู่โรงพยาบาลมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ตรงข้ามกับหมอ ศบค.ที่พูดตอนไทยเจอโควิดเดลต้าในแคมป์คนงานใหม่ๆ ช่วงต้นเดือนมิถุนายนว่าเชื้อพุ่งในคนงานหนุ่ม-สาวซึ่งแข็งแรงจนไม่ต้องกลัวเชื้อลาม สายพันธุ์เดลต้าทำให้ประเทศไทยมีคนป่วยในโรงพยาบาลเกือบ 1 แสน 3 หมื่น ทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาลจริงๆ หรือโรงพยาบาลสนามที่เอากระดาษแข็งมาต่อเป็นลัง

ก๊วน ศบค.ไม่ยอมพูดความจริงกับประชาชนตรงๆ ว่าระบบสาธารณสุขไทยพัง แต่การที่โรงพยาบาลหลายแห่งทยอยปิดรับผู้ป่วยนอก, งดผ่าตัด, ปิดรักษาบางแผนก ฯลฯ คือหลักฐานว่าระบบสาธารณสุขทำงานไม่ได้แล้ว

ไม่ต้องพูดถึงการที่โรงพยาบาลสนามเริ่มประกาศว่าไม่สามารถรับผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลสนามได้อีกต่อไป

กรุงเทพฯ ทุกวันนี้มีผู้ติดเชื้อใหม่วันละกว่า 3,000 ทั้งที่ศักยภาพทางการแพทย์รับได้ดีที่สุดที่วันละหนึ่งพันราย คนป่วยที่ไม่ได้เตียงจึงพุ่งทะลุเพดาน, คนตายคาบ้านเพิ่มขึ้นทุกขณะ มิหนำซ้ำโรงพยาบาลสนามยังเข้าสู่จุดที่รับคนอีกไม่ได้

ส่วนการกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation ยังไม่ชัดเจนว่าจะรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่ารวดเร็วได้อย่างไร

ต่างจังหวัดเคยมีผู้ติดเชื้อต่ำจนรัฐบาลปิดแคมป์คนงานในกรุงเทพฯ เพื่อกดดันให้คนงานกลับบ้านไปรักษาตัว แต่ในเมื่อรัฐบาลยังไม่เคยฉีดวัคซีน mRNA ให้คนทั่วไป ส่วนคนที่แอบฉีดก็เป็นอภิสิทธิ์ชนระดับสูงที่มีจำนวนน้อยมาก

การผลักคนงานกลับบ้านจึงเป็นการส่งผู้ติดเชื้อเดลต้าไปให้คนในพื้นที่ซึ่งไม่มีอะไรป้องกันตัวเอง

ด้วยการบริหารงานราวกับใช้อวัยวะเบื้องล่างคิดของรัฐบาล ต่างจังหวัดซึ่งเคยไม่มีผู้ติดเชื้อเลยในช่วงปลายมิถุนายก็ทยอยเชื้อพุ่งจนโรงพยาบาลสนามเริ่มรับคนเพิ่มไม่ได้

หลายจังหวัดหาทางออกด้วยการแปลงหอประชุมอำเภอหรือโรงเรียนเป็นศูนย์พักคอย บางพื้นที่เจอผู้ป่วยมากที่ไหนก็กักตัวที่นั่น

แต่ทั้งหมดคือสถานการณ์ที่ไม่ดีเลย

แม้จะไม่มีใครอยากยอมรับความจริงเรื่องความตาย แต่ประเทศไทยวันนี้มาถึงขั้นที่มีคนติดโควิดนอนตายกลางถนนโดยไม่มีใครเก็บศพเลยเกือบทั้งวัน

สาระสำคัญของเรื่องนี้คือสถานการณ์โควิดวิกฤตขั้นมีคนติดเชื้อที่ไม่ได้กักตัวจนเสียชีวิตกลางถนน

ส่วนคนตายตอนนี้ก็มากจนเจ้าหน้าที่เก็บศพต้องปล่อยศพทิ้งเพราะมาเก็บไม่ทัน

พูดก็พูดเถอะ ข้อเท็จจริงตอนนี้คือคนติดเชื้อซึ่งไม่ได้เข้าโรงพยาบาลมากจนคนป่วยตามบ้านพุ่ง

เช่นเดียวกับคนติดเชื้อทั้งบ้าน รวมทั้งคนเสียชีวิตตามบ้านที่ยิ่งนานยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ หรือหากพูดให้ตรงที่สุดคือเรากำลังเข้าสู่สถานการณ์คล้ายกับที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กหรืออิตาลีช่วงเชื้อระบาดสูงสุดในปีที่ผ่านมา

โดยหลักการแล้วคนป่วยทุกคนไม่ควรตาย

แต่ในเวลาที่ผู้ป่วยพุ่งจนเกินกำลังของระบบสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์

สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยปริยายคือการเลือกว่าจะให้ใครรอดและให้ใครตาย ไม่ว่าจะโดยการเลือกตรงๆ ว่าใครจะได้รับการรักษาพยาบาล หรือโดยวิธีอ้อมๆ อย่างการที่คนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้เลย

 

ประเทศไทยเชื้อพุ่งวันละหมื่นตั้งแต่ 16 กรกฎาคม และเป็นหมื่นสามพันกว่าๆ ในวันที่ 20 กรกฎาคม และถ้านับจากวันที่ 20 ซึ่งเรามีคนป่วยในโรงพยาบาลจริงๆ และโรงพยาบาลสนามราวหนึ่งแสนสามหมื่นราย หากจำนวนผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งขึ้นด้วยอัตรางเร่งนี้ต่อไป ภายในเดือนกรกฎาคมเราจะมีผู้ป่วยถึง 3 แสนคน

คิดตามบัญญัติไตรยางค์ง่ายๆ ถ้าผู้ป่วยในโรงพยาบาลหนึ่งแสนสามหมื่นรายยังล้นจนคนติดเชื้อและตายคาบ้านพุ่งขนาดนี้ จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเป็นสามแสนรายหรือสูงขึ้น 1 เท่า ก็น่าจะทำให้ผู้ติดเชื้อและตายคาบ้านสูงขึ้นจากปัจจุบันมากจนไม่อยากจะจินตนาการถึงเลย

จริงอยู่ว่ารัฐบาลแก้ปัญหานี้โดยโรงพยาบาลสนามและศูนย์พักคอย แต่ผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นวันละหมื่น โรงพยาบาลสนามและศูนย์พักคอยก็จะน็อกไปด้วย เพราะไม่มีทางที่จะหาหมอหรือพยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ มาดูแลผู้ป่วยใหม่วันละหมื่นได้อย่างแน่นอน ต่อให้จะมีระบบกักตัวตามบ้าน หรือ Home Isolation มาช่วยก็ตาม

ความล่มสลายของระบบสาธารณสุขทำให้สังคมไทยเผชิญการระบาดซึ่งผู้สูงอายุจะเสียชีวิตมากที่สุด ไม่ว่าจะเพราะร่างกายทนเชื้อไม่ไหว, มีโรคอันตรายอยู่ก่อน, ไม่สามารถรอเตียงได้เท่าคนหนุ่ม-สาว

หรือแม้กระทั่งความจริงที่ไม่มีใครยอมรับว่าระบบอาจต้องเลือกรักษาผู้โอกาสรอดสูงกว่าผู้ที่โอกาสรอดต่ำโดยปริยาย

ด้วยความหละหลวมของรัฐและนโยบายวัคซีนที่ผิดพลาดของ ศบค. การระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้ากำลังเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของคนไทยและสังคมไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน คนตายที่อยู่หลัก 3,500 มีโอกาสพุ่งถึงห้าพันแน่ๆ หากผู้ติดเชื้อทะยานถึงหลักสามแสนในสิ้นเดือนนี้ และโอกาสที่เรื่องนี้จะทุเลาลงยังไม่เห็นเลย

การเดินขบวนเรียกร้องวัคซีนประจานความอัปยศของรัฐบาล และการที่รัฐบาลใช้กระสุนยางยิงคนเรียกร้องวัคซีนยิ่งประจานรัฐบาลมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ในที่สุดรัฐบาลจะยอมซื้อวัคซีนดีๆ เพื่อยุติการระบาดของไวรัสเดลต้าอย่างที่ประชาชนต้องการก็ตาม

รัฐบาลแถลงว่าวัคซีนไฟเซอร์จะมาถึงไตรมาสสี่ และถ้าอนุมานว่าไตรมาสสี่ของรัฐบาลน่าจะหมายถึงเดือนธันวาคมเหมือนความล่าช้าในกรณีอื่นๆ ก็เท่ากับว่าคนไทยต้องเผชิญการระบาดแบบนี้ไปอย่างต่ำหกเดือน และกระทั่งอาจเป็นเจ็ดหรือแปดเดือนหากคำนึงถึงเวลาที่ต้องใช้กว่าภูมิคุ้มกันจะขึ้นหลังฉีดวัคซีนจริงๆ

คำถามคือ สังคมไทยจะอยู่รอดอย่างไรในระยะเวลาที่เชื้อระบาดโดยประชาชนป้องกันตัวเองไม่ได้นานขนาดนี้ และคำตอบคือไม่มีคำตอบของเรื่องนี้จากรัฐบาล

หนึ่งปีกว่าแล้วที่คุณประยุทธ์รวบอำนาจแก้ปัญหาโควิดไว้ที่ตัวเองเพียงคนเดียว แต่จำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งทะยานคู่ขนานกับคนตายเป็นใบไม้ร่วงคือหลักฐานแห่งความระยำของการบริหารแบบนี้ อำนาจที่ผูกขาดภายใต้ระบอบที่ไร้สมองคืออำนาจที่มีแต่จะพาคนไปตาย ซ้ำยังอำมหิตพอจะทำแบบนี้ต่อโดยไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลย

ทางเลือกเดียวในการปกป้องชีวิตคนไทยจากหายนะครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศคือการเปลี่ยนนายกฯ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนี้ มีแต่เส้นทางสู่ความตายและการติดเชื้อที่ไม่มีวันบรรเทาลงเลย หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป

หานายกฯ ใหม่คือทางออกเดียวในการปกป้องชีวิตประชาชนยุคปัจจุบัน