เรื่องสั้น : โลกหลังกำแพง

เสียงขีดเขียนกระดานดำของคุณครู เป็นเสียงที่สาวิตรีคุ้นเคย เธอเป็นเด็กที่ชอบนั่งริมหน้าต่าง เพราะชอบสายลมเบาๆ ที่พัดมายามที่ห้องเรียนไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ คุณครูที่อายุมากยังคงชอบใช้ชอล์กหลากสีสัน เขียนหรือวาดภาพบนกระดานดำที่มีสีเขียว บางครั้งสาวิตรีมักจะเหม่อมองออกมานอกหน้าต่างห้องเรียน เห็นเพียงหลังคาบ้านลดหลั่น สูงต่ำแตกต่างกัน สาวิตรีมองเห็นหญิงสาวบ้าง ลุงแก่บ้าง ป้า หรือคุณยาย ทำกิจวัตรประจำวันบนดาดฟ้า หรือริมระเบียง ตากผ้า รดน้ำต้นไม้ ภาพเหล่านี้คุ้นตาสาวิตรีมาตั้งแต่สมัยเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายที่นี่ จนถึงตอนนี้ที่เธอใกล้จะเรียนจบ เธอยังคงนั่งมองภาพเหล่านั้นได้ไม่รู้เบื่อ

“นักเรียนเคารพ” เสียงหัวหน้าห้องดังขึ้น เรียกสติให้สาวิตรีกลับเข้ามาอยู่ในห้องเรียน

“ทุกคนกลับไปทบทวนบทเรียน และทำการบ้านที่ครูให้นะคะ” เสียงคุณครูย้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนก้าวออกนอกห้องเรียน เด็กสาวหลายคนจับกลุ่มคุยกันจอแจว่าจะไปทำอะไรต่อดี เรียนพิเศษ เดินห้าง เป็นกิจกรรมที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคย

“หนูสา ไปด้วยกันไหม วันนี้พวกเราจะไปเดินห้างใหญ่แถวๆ นี้กัน เพิ่งเปิดใหม่เลย”

กานต์พิชชา เพื่อนสนิทที่อยู่กลุ่มเดียวกันเอ่ยชวน

“วันนี้ขอไม่ไปกับพวกแกนะ ต้องรีบกลับบ้าน ไม่อยากเจอรถติดยาว”

สาวิตรีให้เหตุผลที่ฟังขึ้น กรุงเทพฯ ขึ้นชื่อเรื่องรถติดมาตลอด ยิ่งบ้านของเธออยู่ย่านชานเมืองแล้วด้วย การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปชานเมืองใช้เวลาอย่างต่ำสองถึงสามชั่วโมง สาวิตรีเริ่มปรับตัวได้กับการเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนชื่อดังที่หลายคนใฝ่ฝันถึง เธอจำได้ว่าต้องทุ่มเทเวลาอย่างมากในการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเรียนต่อ ความฝันของเธอเป็นจริงในไม่ช้า การได้เรียนที่นี่ทำให้เธอเหมือนได้ก้าวขาข้างหนึ่งสู่รั้วมหาวิทยาลัย การเรียนเข้มข้นมาก ทุกคนแข่งขันกันเรียน และทำกิจกรรม

กิจกรรมที่เราทำวนเวียนอยู่กับเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง การเดินทางไปรับน้องที่ต่างจังหวัด การยินดีกับรุ่นพี่ที่เรียนจบและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ งานกีฬาสี ทำหนังสือรุ่นประจำปี รวมไปถึงชมรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ทำหนังสือออนไลน์ ดนตรีไทย ออกค่ายอาสา สาวิตรีอาจจะไม่ใช่เด็กกิจกรรมตัวยง เธอต้องแบ่งเวลาให้กับการเดินทางกลับบ้านที่อยู่ชานเมือง เคยขอแม่มาอยู่หอใกล้ๆ โรงเรียน แม่ไม่อนุญาต เพราะไม่อยากให้ลูกห่างจากครอบครัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมปลาย ยกเว้นว่าสาวิตรีต้องทำกิจกรรมหนักๆ จึงจะอนุญาตให้ค้างคืนกับเพื่อนๆ เป็นครั้งคราว

การเดินทางจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้านที่ชานเมืองใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง ถ้าออกช้าพนันได้เลยว่าถึงบ้านค่ำแน่นอน สาวิตรีชินแล้วกับการเดินทางไปกลับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เลิกเรียนแล้ว ถ้าไม่มีอะไรต้องสะสางกับเพื่อนๆ สาวิตรีมุ่งหน้ากลับบ้านทันที ช่วงเวลาบนรถเธอจะนั่งเล่นโทรศัพท์บ้าง อ่านหนังสือบ้าง สลับกันไป โชคดียังพอมีรถไฟฟ้าที่ใช้ย่นระยะเวลาการเดินทางให้เร็วขึ้นบ้าง แต่ยังไม่เร็วเท่าที่ควร ถึงบ้าน ออกกำลังกายเบาๆ อาบน้ำ ทานข้าวเย็นกับที่บ้านบ้าง บางทีไม่ได้ทานข้าวเย็น ต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง

พ่อของสาวิตรีทำงานในเมืองเหมือนกัน เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานตำแหน่งบริหารแล้ว ส่วนแม่ของสาวิตรีทำงานบริษัทเหมือนกัน ทั้งคู่ดูแลลูกสาวคนเดียวเป็นอย่างดี นานๆ ครั้งทั้งคู่จะพาลูกสาวไปเยี่ยมญาติฝ่ายพ่อและแม่ คุณตาและคุณยายของสาวิตรีอาศัยอยู่ในเมือง ส่วนด้านคุณปู่กับคุณย่าเช่นเดียวกัน สาวิตรีจำภาพรางๆ ที่มีต่อคุณตาคุณยายและคุณปู่คุณย่าได้บ้าง ตอนเด็กๆ ทุกสุดสัปดาห์เธอต้องไปหาท่าน สลับกันไปในแต่ละสัปดาห์ ระยะหลังเธอไปบ้านญาติผู้ใหญ่น้อยลง บางท่านล้มหายตายจากไปแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คืออาศัยดูจากภาพถ่ายเก่าๆ ที่แม่เก็บไว้ในตู้ บางวันสาวิตรีไปหยิบอัลบั้มรูปมาเปิดดู และนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว เธอไม่ใช่เด็กติดสังคมออนไลน์นัก โลกของเธอจึงวนเวียนอยู่กับอัลบั้มรูปเก่าหรือหนังสือเก่า และไปกลับระหว่างโรงเรียนและบ้านชานเมือง

“ตื่นได้แล้วลูก” แม่ปลุกตีสี่เหมือนเคย อาบน้ำ แต่งตัว ออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ถึงโรงเรียนเกือบเจ็ดโมงเช้า เวลาสองชั่วโมงบนรถ สาวิตรีอ่านหนังสือบ้าง เล่นมือถือบ้าง คาบเช้าเรียนคณิตศาสตร์ที่แสนจะปวดหัว สาวิตรีนั่งริมหน้าต่างเหมือนเคย ห้องเรียนของเธออยู่ชั้นสูงสุดของตึก มองออกไปเห็นตึกระเกะระกะเบียดกันแน่น กรุงเทพฯ เติบโตเร็วกว่าที่คิด เมืองขยายตัวออกไปในทุกๆ ด้าน ถ้าหากขึ้นไปมองจากตึกสูงๆ จะเห็นทางด่วนตัดกันไปมา เปรียบเหมือนงานศิลปะที่สร้างอยู่บนอากาศ

“ทุกคน อย่าลืมทำการบ้านนะคะ คาบเรียนหน้าเจอกัน” คุณครูกล่าวประโยคสุดท้ายเสร็จ เด็กๆ หลายคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที เพราะวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องใช้สมาธิในการแก้โจทย์เลขเป็นอย่างมาก สาวิตรีนั่งข้างมาลินีเหมือนเคย ขณะที่กานต์พิชชานั่งถัดไปด้านหน้า เด็กสาวชวนกันไปเข้าห้องน้ำก่อนเริ่มเรียนในคาบถัดไป สาวิตรีเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนพร้อมเพื่อนๆ คาบเรียนถัดมาคือวิชาสังคม หัวข้อที่เรียนคือเรื่องประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา เหตุการณ์สำคัญต่างๆ เรียงร้อยเข้ามาในสมอง สาวิตรีมองหน้าคุณครูผู้สอน พร้อมกับซึมซับ และจินตนาการถึงเรื่องราวในสมัยก่อน

แต่เธออดไม่ได้ที่จะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียน

บนดาดฟ้าของอาคารแห่งหนึ่งที่ไม่สูงมากนัก และไม่ห่างจากที่สาวิตรีพอมองเห็นได้ หญิงชราคลุมผ้าที่ผมกำลังตากผ้าอยู่บนดาดฟ้า หญิงชราอาศัยอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้มานาน มีลูกหลานที่ยังคงอยู่ที่นี่ และบางคนที่ย้ายออกไปจากชุมชนแห่งนี้ สักพักเธอตากผ้าเสร็จก็เดินลงจากดาดฟ้า เป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน สาวิตรีมองเห็นหญิงชราเกือบทุกวัน เธอเริ่มชินและรอคอยว่าวันนี้คุณยายจะขึ้นมาตากผ้าหรือไม่ การดูคุณยายตากผ้าทำให้เธอสบายใจ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เธออยากจะข้ามจากกำแพงของโรงเรียนก้าวกระโดดไปตึกฝั่งตรงข้ามที่คุณยายตากผ้า

เหมือนกับว่าคุณยายจะรู้ความคิดของสาวิตรี ท่านหันมายิ้มกว้างให้อย่างอบอุ่น ถึงแม้จะอยู่ไกลกันกลับมองเห็นรอยยิ้มนั้นได้อย่างชัดเจน วันนี้มีคาบว่างช่วงบ่าย โรงเรียนปล่อยให้นักศึกษาทำกิจกรรมชมรมเป็นพิเศษหนึ่งวัน สาวิตรีอยู่ชมรมถ่ายภาพ ชมรมถ่ายภาพมักจะจัดทริปออกไปถ่ายภาพตามต่างจังหวัด แต่ไม่เคยออกไปสำรวจชุมชนบริเวณนี้เลย สาวิตรีคว้ากล้องมาคล้องคอ แจ้งรุ่นพี่ประจำชมรมว่าอยากจะไปเก็บภาพบริเวณนี้ และจะเลยกลับบ้าน พรุ่งนี้จะนำภาพถ่ายมานำเสนอรุ่นพี่และอาจารย์ เมื่อได้รับคำอนุญาต สาวิตรีเก็บของใส่กระเป๋า พร้อมหนังสืออนุญาตจากทางโรงเรียนให้กลับบ้านก่อนเวลา

สาวิตรีเดินออกจากประตูโรงเรียน และแทนที่จะเดินริมถนนใหญ่ เธอเลือกวกกลับเข้าตรอกเล็กแห่งหนึ่งที่เธอเดินผ่านอยู่เป็นประจำ เมื่อเดินเข้าตรอกนั้นไป สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านหรือห้องแถวที่เรียงติดกัน เป็นบ้านไม้บ้าง บ้านปูนบ้าง สาวิตรีหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า ถ่ายรูปตามสองข้างทางที่พบ

เด็กๆ ตัวเล็กเดินกินไอติมผ่านไป ผู้สูงวัยนั่งอยู่หน้าบ้าน บางคนส่งยิ้มทักทาย สาวิตรีเดินลึกเข้าไปในตรอกเรื่อยๆ จนถึงตึกหลังหนึ่ง ตึกหลังนั้นเป็นตึกเดียวกันกับที่เธอเห็นคุณยายตากผ้าบนดาดฟ้า เธอแหงนหน้ามองตึกหลังนั้น ตั้งใจจะสำรวจตรอกแห่งนี้ให้ครบก่อน แล้วจึงย้อนกลับมาที่ตึกหลังนี้ เธอนึกเสียดายว่าทำไมเพิ่งจะเข้ามาสำรวจที่นี่ ทั้งที่เธอควรจะมานานแล้ว ตรอกเล็กๆ แห่งนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแม้แต่น้อย เดินผ่านมาไม่กี่บ้าน ผู้คนที่พบเจอ น่ารัก ยิ้มทักทายตลอดทาง

บ้านเก่าหลังหนึ่งตั้งอยู่ท้ายตรอก บ้านไม้หลังใหญ่มีลวดลายอ่อนช้อยอยู่ตรงชายคาบ้าน สาวิตรีมองลอดกำแพงที่ทำด้วยสังกะสีเข้าไปในตัวบ้าน บ้านถึงแม้จะเก่าแต่บ่งบอกร่องรอยของความสวยงาม สาวิตรียกกล้องขึ้นถ่ายภาพ หลายมุม หลายอารมณ์ที่มองผ่านเลนส์ คุณลุงคนหนึ่งกำลังจะเดินผ่านไป เป้ที่สะพายบนไหล่ข้างหนึ่งเลื่อนหลุด คุณลุงช่วยจับเป้ที่กำลังจะหล่นลงที่พื้นให้สาวิตรี

“มาทำอะไรแถวนี้ หน้าตาไม่ค่อยคุ้นเลยหนู” คุณลุงเอ่ยทัก

“หนูเพิ่งเข้ามาที่นี้เป็นครั้งแรก มาถ่ายรูปส่งงานคุณครูค่ะ” สาวิตรีตอบพร้อมชี้ไปที่กล้องห้อยคอ

“นานๆ ทีจะมีเด็กๆ แวะเข้ามา”

“บ้านหลังนี้สวยมากค่ะคุณลุง บ้านใครคะ” สาวิตรีชวนคุย

“เป็นบ้านของขุนนางผู้ใหญ่เก่าแก่ ตอนนี้ครอบครัวย้ายออกไปแล้ว ให้คนเช่าอยู่” คุณลุงอธิบาย

“น่าเสียดายนะคะ ยังอยู่ได้ ไม่น่าย้ายออกเลย” สาวิตรีกล่าวตอบตามที่เห็น เธอเริ่มหลงเสน่ห์บ้านเก่าหลังนี้เข้าแล้ว

“เขาไปอยู่บ้านจัดสรรชานเมือง สะดวกสบายกว่า ตรอกเล็กๆ ที่นี่เข้าออกลำบาก รถใหญ่เข้าไม่ได้ ต้องเดินหรือจักรยานเท่านั้น ว่าแต่บ้านหนูอยู่แถวไหน”

“หนูอยู่ชานเมืองเหมือนกัน ต้องนั่งรถเมล์กลับบ้านข้ามจังหวัดทุกวัน เช้ามาเรียน เย็นกลับ”

“กินอะไรไหมล่ะ หิวไหม” คุณลุงเสนอ

“คุณลุงคะ ตึกที่อยู่กลางตรอก เป็นของใครคะ”

สาวิตรีชี้มือไปทางตึกหลังนั้น “เป็นมัสยิด หนูรู้จักมัสยิดไหม”

สาวิตรีพยักหน้าพร้อมกับฟังคุณลุงบรรยายความเป็นมา ชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนเก่าแก่อยู่ริมพระนครมานาน ชาวบ้านตั้งบ้านเรือนมาตั้งแต่ยุคอดีตก่อนที่จะมีถนนตัดผ่าน เป็นชุมชนที่มีคนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่รวมกัน ทั้งคนไทย คนอิสลาม คนจีน คนที่นี่ผูกพันกันเหนียวแน่น ทุกบ้านรู้จักกันหรือเป็นญาติกัน ช่วงหลังๆ คนเริ่มย้ายออกไปอยู่ชานเมืองกันมาก เพราะความเจริญเข้ามา การจัดการเมืองทำให้ชุมชนถูกจัดระเบียบ รื้อถอน ปรับแต่งให้ ลดทอนจิตวิญญาณที่เคยมีของชุมชนให้เลือนหายไป คนเก่าคนแก่เสียชีวิต การสืบทอดภูมิปัญญาเรื่องราวเก่าๆ ชุมชนอาจจะน้อยลง ความเหนียวแน่นของคนในชุมชนเลือนราง อย่างไรก็ตาม สำหรับชุมชนแห่งนี้ แกนนำชุมชนมีความเข้มแข็ง สืบสานสัมพันธ์คนในชุมชนได้อย่างเหนียวแน่น ถึงจะมีบางครอบครัวที่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น คนในชุมชนก็ยังผูกพันกันเหนียวแน่นอยู่เสมอ

สาวิตรีตั้งใจฟังที่คุณลุงอธิบาย เธอเองก็เหมือนกัน เธอรู้สึกว่ารากเหง้าความผูกพันกับคนรุ่นเก่ารุ่นก่อน จางหายไป เธอเริ่มห่างเหินจากคุณตา คุณยาย บ้านที่อยู่ตอนนี้เป็นบ้านจัดสรรที่พ่อกับแม่แยกออกจากครอบครัวเดิม มาซื้อบ้านใหม่นอกเมือง เพราะบ้านเดิมเริ่มแออัด จากที่เคยเดินทางทางน้ำ เริ่มมีการตัดถนน หรือเป็นเพราะการขยายตัวของเมือง บ้านเรือนในชุมชนบีบอัดกันมากขึ้น รถใหญ่เข้าไม่ได้ ต้องเดินเข้าตรอก

สาวิตรีรู้สึกคิดถึงบ้าน คิดถึงญาติๆ วันเวลาที่มีลูกพี่ ลูกน้อง ล้อมหน้าล้อมหลังในสมัยวัยเด็ก เริ่มหายไปตอนไหน สาวิตรีมิอาจรู้ได้ รู้แต่ว่าตอนนี้อ้างว้างเหลือเกิน การตื่นมาเจอเพื่อนที่โรงเรียนทุกเช้าเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่จะดีกว่านั้น หากวันหยุดยาว สาวิตรีได้มีโอกาสกลับบ้านที่แท้จริง บ้านที่มีเรื่องราว ไม่ได้เป็นแค่บ้านจัดสรรที่รูปทรงของบ้านเหมือนๆ กัน ผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้าน สาวิตรีไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย ต่างคนต่างอยู่ สาวิตรีถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ทำไมเธอถึงเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ อยากจะบอกพ่อกับแม่ให้กลับไปหาบ้านที่คุณตาคุณยายเคยอยู่

“หนูคงต้องกลับแล้วค่ะ คุณลุง วันหลังจะแวะมาอีกนะคะ”

สาวิตรีบอกลาคุณลุง เดินกลับออกมาทางเดิม รูปถ่ายที่ได้มามีหลายรูป สาวิตรีต่อรถไฟฟ้าออกไปนอกเมือง และต่อรถตู้กลับบ้านอีกที พ่อกับแม่ยังไม่กลับบ้าน ทำงานหนักทั้งคู่ สาวิตรีไขประตูบ้านเข้ามา หอบหิ้วถุงกับข้าวที่ซื้อมาจากข้างนอกบ้านติดมือมาด้วย มาถึงจัดการตัวเอง นั่งกินข้าวไปด้วย ดูทีวีไปด้วย เล่นมือถือไปด้วย เวลาที่เหงา อินเตอร์เน็ตและการแชตช่วยคลายความเหงาให้ได้ไม่มากก็น้อย สาวิตรีหยิบอัลบั้มภาพเก่ามาดูอีกครั้ง คิดถึงวันเวลาเก่าๆ ที่ไม่อาจย้อนกลับไปได้

“เป็นไงบ้างลูก เรียนเป็นยังไงบ้าง” แม่ส่งเสียงมาแต่ไกล สาวิตรีรีบลุกออกจากโต๊ะอาหาร ช่วยจัดเก็บของที่แม่ซื้อมาเข้าตู้ แม่กลับเย็นเป็นธรรมดา งานหนักของแม่ทำให้สาวิตรีอยู่ได้อย่างไม่ลำบาก บ้านหลังนี้แม่ก็ผ่อนไปได้กว่าครึ่งแล้ว บ้านจัดสรรเหมือนหลุดออกมาจากแค็ตตาล็อก ทุกบ้านเรียงรายอยู่กันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน สิ่งที่ขาดคือความผูกพันของคนในหมู่บ้าน

“หนูไปอาบน้ำก่อนนะคะแม่”

“รีบนอนนะลูก พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า” แม่กำชับเหมือนเดิม บางทีสาวิตรีนึกอยากจะเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ได้เดินไปโรงเรียนหรือปั่นจักรยานไปโรงเรียนแบบในหนัง ก่อนนอนคืนนี้การบ้านที่ต้องสะสางมีอีกนิดหน่อย เปิดไฟทำการบ้านเรียบร้อย สาวิตรีเข้าอินเตอร์เน็ต พยายามจะค้นข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนที่ได้ไปมาเมื่อวาน ไม่ค่อยมีบันทึกเกี่ยวกับชุมชนที่ว่าสักเท่าไหร่ ยังไงก็ต้องกลับไปอีกครั้ง ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอน หลับไปอย่างอ่อนล้า

แม่ปลุกเหมือนเคย วันนี้แม่พอจะมีเวลามาส่งที่รถไฟฟ้า สาวิตรีวิ่งตึกๆ ขึ้นรถไฟฟ้า ต่อรถอีกสองทอดถึงหน้าโรงเรียน เช้าตรู่ บรรยากาศยามเช้าถึงแม้จะไม่สดชื่นเท่าบ้านนอก แต่ก็ให้ความรู้สึกสดใสได้เหมือนกัน โรงอาหารยังไม่มีเด็กมามากนัก สาวิตรีสั่งข้าวนั่งทานคนเดียว เพื่อนๆ กลุ่มเดียวกันยังไม่มา ทานไปเรื่อยๆ จนเกือบใกล้เข้าแถว เพื่อนในกลุ่มทยอยมาเจอที่โต๊ะเดียวกัน พากันไปเข้าแถว คาบเช้ายังคงเป็นวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สาวิตรีตั้งใจพยายามไม่เหม่อลอยมองไปนอกหน้าต่าง

ช่วงพักเบรกรอยต่อระหว่างคาบเรียน สาวิตรีมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเคย คุณยายคนเดิมออกมาตากผ้าอีกแล้ว สาวิตรีอยากออกไปข้างนอกโรงเรียนตอนนี้ แต่คงต้องรอจนโรงเรียนเลิกก่อน ซึ่งยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง ช่วงพักกลางวันสาวิตรีแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนไปห้องสมุด ค้นหาหนังสือเก่ามาอ่าน สักพักเสียงออดดังเรียกสติกลับมา สาวิตรีกลับเข้าห้องเรียน นั่งเรียนจนหมดวัน เลิกเรียนแล้ว สาวิตรีเก็บกระเป๋ามุ่งหน้าเข้าไปในตรอกเดิม ข้างๆ โรงเรียน สาวิตรีอยากพบคุณยายที่ตากผ้าบนตึก เธอเดินเรื่อยๆ เข้าไปในตรอก บ้านทุกหลังยังมีชีวิต มีเรื่องราว มีจิตวิญญาณ ความเก่าแก่ของผู้คน ของบ้านคือสิ่งที่สาวิตรีหลงใหล เธอพบคุณลุงคนเดิมโดยบังเอิญอีกครั้ง คุณลุงชวนเข้าไปที่มัสยิด ตึกสูงหลังนั้นทาสีขาวทั้งตัวตึกและภายใน

ที่นี่คือที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาของชาวมุสลิม ละหมาดเป็นคำที่ผ่านเข้ามาในความคิดคำนึง

คุณลุงพาสาวิตรีเดินขึ้นไปทีละชั้น ชั้นบนสุดมองเห็นชุมชนได้โดยรอบ และมองไปไกลจนถึงโรงเรียนของสาวิตรีได้เลย สาวิตรียกกล้องขึ้นถ่ายรูป พยายามจะเก็บภาพวิวที่ซับซ้อน รายล้อมไปด้วยตึกต่างๆ มากมาย มองไปไกลเห็นวิวกรุงเทพฯ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สาวิตรียืนนิ่งมองภาพที่เห็นตรงหน้า ภาพวิว ภาพชีวิตของผู้คนที่อยู่หลังกำแพง ชุมชนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ชุมชนที่แทบจะไม่มีนักเรียนสักคนเข้ามาศึกษา เป็นโลกหลังกำแพงที่สาวิตรีไม่เคยเห็นมาก่อน

สาวิตรียืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารเป็นเวลาเนิ่นนาน เธออยากจะย้อนเวลากลับไปอยู่ในชุมชนของคุณตาคุณยาย หรือคุณปู่คุณย่า ชุมชนที่มีเรื่องราว มีความผูกพัน มีประวัติศาสตร์ของชุมชน มากกว่าหมู่บ้านจัดสรรที่แสนสะอาด สะดวกสบาย สาวิตรีเดินย้อนกลับลงมาทีละชั้น โดยบังเอิญเธอสวนกับคุณยายระหว่างทางลงบันได คุณยายที่ตากผ้าทุกๆ เช้า ยิ้มให้เธออย่างใจดี ไม่มีคำพูดทักทาย มีเพียงรอยยิ้มที่คุณยายยิ้มให้เสมอ คุณยายคลุมผ้าที่ศีรษะ สวยงามกว่าทุกๆ วัน สาวิตรีเดินลงมาด้านล่างเรียบร้อย

“เป็นยังไงบ้างหนู” คุณลุงคนเดิมถามด้วยความห่วงใย

“วิวสวยมากค่ะคุณลุง ได้เห็นกรุงเทพฯ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”

“ดีใจที่หนูชอบ”

“คุณลุงคะ คุณยายที่คลุมผ้าที่ศีรษะ ท่านทำงานที่นี่หรือเปล่าคะ หนูสวนกับท่านตอนเดินลงมา”

“ใช่แล้ว คุณยายแกอยู่ตึกแถวไม่ไกลจากนี้ ลูกหลานแกย้ายออกไปหมด แกยังรักบ้านเดิม แกเลยไม่ย้ายออก ทุกวันแกจะมาช่วยงานที่มัสยิด ซักผ้า ตากผ้า ล้างจานบ้าง หนูเห็นตึกแถวที่กำลังจะถูกรื้อนั่นไหม อายุกว่าร้อยปี สุดท้ายก็ต้องรื้อเพราะเก่าทรุดโทรม ไม่ได้บำรุงซ่อมแซมไว้ น่าเสียดายมาก”

“ใช่ค่ะ บ้านเก่า ตึกแถวเก่า หนูไม่อยากให้รื้อเลย”

“ถึงจะไม่รื้อ แต่ปากซอย หนูเห็นว่าบ้านเก่าหลายหลังถูกปรับเป็นโฮสเทลรับนักท่องเที่ยว ลุงไม่ได้บอกว่าโฮสเทลไม่ดีนะหนู สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้คนที่อาศัยอยู่เดิมไม่ต้องถอนรากถอนโคนตัวเองไปอยู่ที่อื่น ลุงจะไม่ย้ายออกไปจากที่นี้ ลุงจะอยู่เพื่อรักษาถิ่นฐานชุมชนของลุงไว้”

สาวิตรีเดินออกจากที่นี้ เธอกลับเข้าห้องเรียนอีกครั้ง กลับคืนสู่โลกเดิม โลกหลังกำแพงคงเป็นเพียงความฝันหรือเป็นเพียงงานอดิเรกยามว่าง หากเธอคิดถึงหรือเหนื่อยล้าจากโลกที่เป็นอยู่ เธอจะพาตัวเองเดินเข้าตรอกเล็กๆ ชื่นชมบ้านเก่าหลายหลัง สิ่งละอันพันละน้อย ผู้คนที่มีแต่รอยยิ้ม

“สถานีต่อไป…” รถไฟฟ้าพาสาวิตรีเดินทางกลับบ้าน บ้านที่ว่างเปล่า