“พิธา” ย้ำรัฐบาลต้องปกป้องบุคลากรด่านหน้า-ประชาชน ไม่ใช่ซิโนแวค

“พิธา” ย้ำรัฐบาลต้องปกป้องบุคลากรด่านหน้า-ประชาชน ไม่ใช่ซิโนแวค

วันที่ 6 กรกฎาคม 2564 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง รัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องประชาชนและบุคลากรการแพทย์ด่านหน้า ไม่ใช่ปกป้อง Sinovac โดยมีรายละเอียดว่า

จากที่ได้มีข่าวถึงเอกสารการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการด้านวิชาการตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ 2558 คณะอนุกรรมการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค และคณะทำงานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการใช้บริการวัคซีน เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งในเอกสารดังกล่าวได้บันทึกเรื่องการพิจารณาการจัดสรรวัคซีน Pfizer จำนวน 1.5 ล้านโดสที่ไทยจะได้รับในเดือนกรกฎาคมนี้

ซึ่งหนึ่งในความเห็นจากที่ประชุมคือรัฐบาลไม่ควรนำวัคซีน Pfizer มาฉีดให้กับบุคลากรด่านหน้าเนื่องจากจะเป็นการยอมรับว่า Sinovac ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและจะ “แก้ตัวยากขึ้น” ในท้ายที่สุดที่ประชุมก็มีมติที่ไม่ได้จะจัดสรรให้บุคลากรการแพทย์ และทางรัฐมนตรีสาธารณสุขได้ยอมรับแล้วว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารจริง

ผมมีความเห็นว่า แนวทางการทำงานที่เหมาะสมเมื่อเกิดความผิดพลาดก็คือ “การแก้ไข” ไม่ใช่ “การแก้ตัว” อำนาจที่ได้รับจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ และเมื่อรัฐบาลผิดพลาดในการจัดหาวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพให้กับประชาชนแล้ว รัฐบาลก็ต้องรับผิดและหาทางแก้ไขโดยเร็วโดยเฉพาะกับบุคลากรการแพทย์ด่านหน้าที่เป็นปราการด่านสุดท้ายของระบบสาธารณสุขไทยในเวลาที่ศักยภาพของระบบสาธารณสุขไทยมาถึงจุดวิกฤติ

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคและ DGA ในช่วงเดือนมิถุนายนมีบุคลากรการแพทย์ติดโควิดมากกว่า 400 คน จากเอกสารหลุดพบว่ามีอย่างน้อย 3 รายเสียชีวิต และหากบุคลากรการแพทย์เหล่านี้ต้องกักตัวหรือล้มป่วยหรือเสียชีวิตลงไป ในวันนั้นก็ย่อมจะส่งผลต่อความปลอดภัยของชีวิตคนไทยทุกคน

ผมเข้าใจดีว่ามีหลายความเห็นจากที่ประชุมที่เสนอให้จัดสรรวัคซีนให้บุคลากรการแพทย์ด่านหน้า แต่จากมติที่ประชุมที่ไม่ได้จัดสรรวัคซีนให้บุคลากรการแพทย์นั้นก็ชวนให้ตั้งข้อสงสัยได้ว่า ความคิดเห็นลำดับที่ 10 ที่เกี่ยวข้องกับ Sinovac นั้นมีน้ำหนักในที่ประชุมมากกว่าชีวิตของบุคลากรการแพทย์ใช่หรือไม่?

และถ้าเจ้าของความคิดเห็นที่ 10 นั้นเป็นแพทย์เองแล้ว ก็ถือว่าอำมหิตอย่างยิ่ง เพราะบุคลากรการแพทย์ที่อยู่ด่านหน้านั้นเป็นเพื่อนร่วมอาชีพของท่านที่กำลังเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเหลือประชาชนคนไทย หรืออาจจะเป็นเพื่อน รุ่นน้อง หรือแม้กระทั่งลูกศิษย์ของท่านเองก็เป็นได้

นอกจากนี้ความเห็นที่ 10 ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สนใจในข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และวิชาการว่าวัคซีน Sinovac ขาดประสิทธิภาพในการป้องกันการระบาด และสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจเพียงการ “ไม่เสียหน้า” ของภาครัฐเองที่ใช้วัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นวัคซีนสำหรับบุคลากรการแพทย์

ผมขอย้ำว่ารัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องประชาชนและบุคลากรการแพทย์ ไม่ใช่ปกป้อง Sinovac รัฐบาลใดที่เห็นชีวิตของประชาชนและแพทย์มีความสำคัญน้อยกว่าชื่อเสียงหน้าตาของตัวเองและบริษัทยาต่างชาตินั้นไม่ใช่รัฐบาลที่มีความชอบธรรมอีกต่อไป หากพรรคร่วมรัฐบาลยังสนับสนุนรัฐบาลของ พล.อ ประยุทธ์ซึ่งมีฐานะเป็น ผู้อำนวยการ ศบค. ผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขโควิด-19 กรุงเทพและปริมณฑล และประธานคณะกรรมการบริหารจัดการวัคซีนแบบเบ็ดเสร็จ Single Command ก็ถือว่าพรรคร่วมรัฐบาลสนับสนุนรัฐบาลที่เห็นหน้าตาของตัวเองและชื่อเสียงของ Sinovac สำคัญกว่าชีวิตของประชาชน

#ก้าวไกล #วัคซีน #โควิด19 #ฉีดไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ #ฉีดpfizerให้บุคลากรทางการแพทย์