กลุ่มคิงเพาเวอร์คว้าสัมปทาน บริหาร “ดิวตี้ฟรีดอนเมือง” 10 ปี 6 เดือน

คมนาคม รายงาน ครม. เห็นชอบ “คิงเพาเวอร์” คว้าสัมปทาน “ดิวตี้ฟรีสนามบินดอนเมือง” 10 ปี 6 เดือน แบบไร้คู่แข่ง

วันที่ 22 มิถุนายน 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2516 เรื่องร้านค้าปลอดภาษี ซึ่ง ครม.ดังกล่าวอนุมัติให้บริษัท การบินไทย จำกัด เป็นผู้ดำเนินการร้านค้าปลอดภาษี ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพ

กระทรวงคมนาคมรายงานว่า ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ให้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. พิจารณาทบทวนมติ ครม.ดังกล่าว หากเห็นว่าไม่สอดคล้อง ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรืออาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างรัฐและภาคประชาชนเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของ ทอท.กับบริษัท การบินไทย ให้เสนอเรื่องต่อสำนักเลขาธิการ ครม.เพื่อขอยกเลิกต่อไป

ทั้งนี้ ทอท.รายงานว่า ได้ออกประกาศเชิญชวนคัดเลือกผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม-8 พฤศจิกายน 2562 เพื่อหาผู้ประกอบกิจการรายใหม่ต่อจากผู้ประกอบการรายเดิม (กลุ่มคิง เพาเวอร์) ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 30 กันยายน 2565

โดยมีผู้สนใจซื้อเอกสาร จำนวน 2 ราย แต่มีผู้มายื่นข้อเสนอเพียงรายเดียว ได้แก่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิประกอบกิจการดังกล่าวเป็นระยะเวลา 10 ปี 6 เดือน หรือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565-31 มีนาคม 2576

การยกเลิกมติ ครม.ดังกล่าวสืบเนื่องจากปัจจุบันได้มีการตรา พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 เพื่อใช้บังคับแทน พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2562

รวมทั้งได้มีประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการท่าอากาศยานและการขนส่งทางอากาศ พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2562 ได้มีการกำหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการท่าอากาศยาน จำนวน 12 กิจการ แต่ไม่รวมถึงกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free)

ดังนั้น ทอท.จึงได้ถือปฏิบัติสำหรับการให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานต่าง ๆ ได้แก่ 1.ระเบียบ ทอท.ว่าด้วยให้สิทธิประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และ 2.ข้อกำหนด ทอท.ว่าด้วยวิธีการดำเนินการคัดเลือกเพื่อให้สิทธิประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ พ.ศ. 2561 ซึ่งสอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐฯ ลงวันที่ 19 เมษายน 2559 และกฎกระทรวงกำหนดเพิ่มมูลค่าของโครงการฯ พ.ศ. 2559 ที่ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน

ประกอบกับ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาบริษัทการบินไทย โดยให้บริษัทการบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ภายใต้คำสั่งศาลทันทีและให้บริษัทการบินไทยหลุดพ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจโดยเด็ดขาด โดยให้กระทรวงการคลังลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทการบินไทยให้ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว

ทั้งนี้ การดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม ส่งผลให้ ทอท.ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด

สำหรับมติ ครม.เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2516 ที่อนุมัติให้บริษัทการบินไทย จำกัด (ชื่อในขณะนั้น) เป็นผู้ดำเนินกิจการร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องเปิดประมูลทั่วไป มีความไม่เหมาะสมกับการดำเนินงานในปัจจุบัน รวมทั้งไม่สอดคล้องกับบทบาทและแนวทางการใช้ประโยชน์ของท่าอากาศยานดอนเมือง

เนื่องจากบริษัทการบินไทยไม่ได้รับอนุญาตจาก ทอท.ให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมืองตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2550 และปัจจุบันได้ย้ายเที่ยวบินไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2552 และการบินไทยพ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจและเปลี่ยนสภาพเป็นบริษัทเอกชนตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2563

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ในปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้เปิดประมูล 3 สัญญา คือ 1.สัญญาผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2.สัญญาประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมทั้ง 2 สัญญา อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 กันยายน 2563-31 มีนาคม 2574

และ 3.สัญญาสิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยทั้ง 3 สัญญาดังกล่าวนี้ อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 กันยายน 2563-31 มีนาคม 2574 โดยกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานทั้งหมด