เปิดเกม ‘ลุงพล’ โต้กลับ ร้องสภาเอาผิด ผบ.ตร. แม่ ‘น้องชมพู่’ ตั้งทนาย สู้คดีเต็มที่-ไม่มีมวยล้ม/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

เปิดเกม ‘ลุงพล’ โต้กลับ

ร้องสภาเอาผิด ผบ.ตร.

แม่ ‘น้องชมพู่’ ตั้งทนาย

สู้คดีเต็มที่-ไม่มีมวยล้ม

 

กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอย่างกว้างขวาง สำหรับคดีน้องชมพู่ ด.ญ.วัย 3 ปีที่หายปริศนาก่อนพบเป็นศพบนเขาเหล็กไฟ ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร คดีดังเมื่อปี 2563

ที่มีความคืบหน้าของคดีด้วยการขอนุมัติหมายจับนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ลุงของน้องชมพู่ ใน 3 ข้อหา พร้อมยืนยันหลักฐานว่าลุงพลเป็นผู้พาน้องชมพู่ไปจากบ้าน และเป็นผู้ซ่อนเร้นอำพรางศพ

ขณะที่ลุงพลพร้อมทนายความคู่ใจอย่างนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ยื่นขอประกันตัวต่อศาล ก่อนได้รับสิทธิประกันตัว

ก็ยืนยันหนักแน่นในความบริสุทธิ์ของตัวเอง

อีกทั้งระบุว่าพยานหลักฐานของตำรวจไม่มีความน่าเชื่อถือ

พร้อมเดินหน้าอีกคดี นั่นก็คือการจับกุมตัวลุงพลของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำในขณะที่ลุงพลเดินทางไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ระบุเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ และเดินหน้าร้องเรียนกรรมาธิการ (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร ให้สอบสวนเรื่องดังกล่าว เอาผิด ผบ.ตร.

เป็นมหากาพย์ที่สู้กันยืดเยื้อแน่ๆ

แฉเบื้องหลังประกันลุงพล

หลังจากถูกจับกุมใน 3 ข้อหาสำคัญ ประกอบด้วย

1. พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดา-มารดา โดยปราศจากเหตุอันควร

2. ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย

3. กระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

และถูกส่งตัวมาดำเนินคดีที่ สภ.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร

ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายไชย์พลไปขออำนาจฝากขังที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร

ขณะที่ทนายความยื่นคัดค้านขอประกันตัว และในที่สุด ศาลอนุมัติให้ประกันตัว โดยมีหลักทรัพย์เป็นเงินสด 1.8 แสนบาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหาหลบหนี ข่มขู่พยาน ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ก่อเหตุอันตรายประการอื่น ห้ามผู้ต้องหาเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

และแต่งตั้งให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 บ้านกกตูม ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เป็นผู้กำกับดูแลผู้ต้องหา เพื่อให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดโดยเคร่งครัด หากผู้ต้องหาผิดข้อกำหนดเงื่อนไข ศาลจะพิจารณาสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวหรือมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร

ทั้งนี้ นายษิทราระบุว่า การจับกุมครั้งนี้เหมือนมีเบื้องหลัง ก่อนหน้านี้เมื่อปีก่อน เคยร้องต่อศาล ว่าหากเกิดออกหมายจับขอให้ไต่สวนก่อน แต่หลังจากคดีเงียบไป 1 ปี ก็พบว่ามีความพยายามหาคนผิดให้ได้ และมุ่งมาที่ลุงพล ซึ่งถือว่าผิดหลักการสอบสวน

ก่อนที่ศาลอนุมัติหมายจับ ก็มีกระแสข่าวว่าจะอนุมัติหมายจับ ตนเป็นคนบอกลุงพลให้มาหาตน ก็ออกจากบ้านมาตามปกติ ตำรวจยังไม่ได้ไปล้อมบ้าน ซึ่งเข้าใจได้ว่าต้องการให้เห็นภาพตำรวจบุกจู่โจมจับกุมตอนเช้า เห็นภาพลุงพลงัวเงีย ให้เห็นว่าถูกล้อมจับ ซึ่งจะสร้างความเสียหายมาก

ต่อมาช่วงสายทราบว่ามีการออกหมายจับจริง ก็ตัดสินใจไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พอประสานไป ก็มีคนบอกว่ามาได้ จะไม่ดักจับระหว่างทาง ก็สงสัยว่าจะมาดักจับทำไมเพราะจะมามอบตัวอยู่แล้ว

แต่จากนั้นก็มีโทรศัพท์กลับมา บอกว่า ผบ.ตร.ไม่มีนโยบายให้รับมอบตัวที่ สตช. ให้ไปที่ สน.ปทุมวัน ซึ่งก็ทราบแล้วว่ามีการวางกำลังเอาไว้ ถ้าไปก็จะจับกุมก่อนมอบตัว จึงเดินทางไปที่ สตช.ตามที่นัดหมายไว้ สุดท้ายก็ถูกควบคุมตัวส่งกลับมาดำเนินคดี

ทั้งนี้ ในคำร้องคัดค้านประกัน ฝ่ายตำรวจกลับบอกว่าลุงพลมีพฤติการณ์หลบหนี ทั้งที่ตอนเดินทางมาจากบ้านที่กกกอก ยังไม่มีการออกหมายจับเลยด้วยซ้ำ จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่าเป็นการให้การเท็จต่อศาลหรือไม่ และในการจับกุมเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุไหม

เป็นเรื่องที่ต้องสู้กันต่อไป

ยื่น กมธ.เอาผิด ผบ.ตร.

ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน นายษิทรา หรือทนายตั้ม พร้อมลุงพล และนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น เดินทางมาสักการะรูปหล่อหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร จากนั้นจึงเดินทางไปรัฐสภา เพื่อเข้าพบนายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ในช่วงบ่าย

โดยนายสิระระบุว่า ทราบว่าลุงพลและทนายษิทรามายื่นหนังสือเพราะติดใจศาลในการพิจารณาออกหมายจับ ยืนยันว่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องในสำนวนคดี

ส่วนประเด็นที่พุ่งเป้าและเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงจะเกี่ยวข้องกับรูปคดีหรือไม่นั้น สิ่งใดที่อยู่ในอำนาจเราจะดำเนินการ ไม่ใช่ว่าจะรับเรื่องร้องเรียนในกรณีของนายไชย์พล แต่ประชาชนทั่วไปก็สามารถร้องเรียนมาได้

อย่างไรก็ตาม จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมกรรมาธิการการกฎหมายฯ ภายในสัปดาห์หน้า ขึ้นอยู่กับว่าที่ประชุม กมธ.การกฎหมายฯ จะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่ ขอให้มั่นใจว่าการดำเนินการต่างๆ จะไม่ก้าวล่วงพยานหลักฐาน และสำนวนคดีต่างๆ ซึ่งจะดูเพียงแค่ตำรวจอำนวยความยุติธรรมไม่ถูกต้อง

“ผมจับพฤติกรรมของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในขณะที่ลงพื้นที่บ้านกกกอก ว่าเคยประกาศว่า จะจับผู้ร้ายให้ได้ภายใน 1 ปี และก็ประจวบเหมาะพอดีว่าการออกหมายจับครั้งนี้ครบ 1 ปีพอดี จึงตั้งข้อสังเกตวันนี้เป็นความบังเอิญ หรือมีการกดดันเจ้าหน้าที่หรือไม่ โดยจะลงพื้นที่บ้านกกกอกในวันที่ 12 มิถุนายนนี้”

นายษิทราย้ำว่า การยื่นเรื่องให้ กมธ.ตรวจสอบ เนื่องจากเราไม่ได้รับความเป็นธรรมจากตำรวจ จึงต้องมาร้องเรียนประธาน กมธ.การกฎหมายฯ เพื่อตรวจสอบ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จากกรณีการออกหมายจับนายไชย์พล

ซึ่งยืนยันแล้วว่า ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี แต่เจ้าพนักงานไปทำคำร้องออกหมายจับ อ้างเหตุว่ามีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ทำให้ศาลหลงเชื่อ และออกหมายจับ

ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากมีการออกหมายจับ เราได้ไปมอบตัว แต่ ผบ.ตร.ซึ่งเป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ กลับไม่ยอมรับมอบตัวและทำบันทึกการจับกุม เพื่อให้ลุงพลได้รับความอับอาย มีผลต่อการคัดค้านการประกันตัวในชั้นศาล

ส่วนลุงพลระบุขอให้ กมธ.การกฎหมายฯ ทำงานรอบคอบ เป็นบรรทัดฐานให้ทุกคนได้รับความยุติธรรม และยืนยันว่าคดีของตนจะไม่หลบหนีไปไหน จะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด

 

เล่นงานกลับ ผบ.ตร.!??

แม่ชมพู่เปิดทีมทนายสู้

ขณะที่คดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ซึ่งขั้นตอนอยู่ระหว่างการทำสำนวนยื่นอัยการส่งฟ้อง ซึ่งฝ่ายตำรวจก็มั่นใจหลักฐานสำคัญ ที่เป็นเศษผมของน้องชมพู่ที่ถูกหั่นหลังเสียชีวิต แล้วไปติดอยู่ในรถลุงพล กับเศษผมของคนใกล้ชิดลุงพลเองที่ไม่ได้ขึ้นไปบนเขาเหล็กไฟ แต่กลับมีเศษผมไปอยู่ที่จุดเกิดเหตุ

โดยบรรยากาศที่บ้านกกกอก กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างแบ่งกันเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย และเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้ง 2 บ้าน ทั้งบ้านแม่น้องชมพู่ หรือนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา และบ้านลุงพล ต่างทำพิธีเอิ้นขวัญประชันกัน ซึ่งชาวบ้านที่สนับสนุนแต่ละฝ่ายก็แยกย้ายกันไปตามบ้าน

นางสาวิตรีก็ยอมรับว่าทนายฝ่ายลุงพลมีความสามารถและหนักใจที่จะต่อสู้คดีด้วย แต่ก็ยืนยันไม่มีมวยล้ม ไม่เคยไปรับเงินรับทองมาจากใคร พร้อมสู้จนตัวตายเพื่อทวงคืนความยุติธรรมกลับมาให้ลูกสาว

ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน ที่โรงแรมมุกดาวิลล์ อ.เมือง จ.มุกดาหาร นางสาวิตรีพร้อมนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม ก็จัดแถลงข่าวเปิดตัวทนายความสู้คดีน้องชมพู่

นายอัจฉริยะเปิดเผยว่า คดีน้องชมพู่ได้แบ่งออกเป็น 2 คณะทำงาน มีทนายความ 4 คน 2 คนแรกจะทำคดีของน้องชมพู่ ส่วนอีก 2 คนจะทำคดีการปกป้องสิทธิของแม่และพ่อน้องชมพู่ โดยมีนายวินัย ชุมสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าทีมทนายความ ขณะที่ตนจะเป็นที่ปรึกษา

ขอให้มองว่าคดีนี้เป็นคดีฆาตกรรม ไม่ใช่คดีการเมือง จึงขอให้ทีมงานนายสิระที่จะมาพบนางสาวิตรี งดเว้นเสีย เพราะไม่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง

โดยรายละเอียดของคดี จะรอให้อัยการยื่นฟ้อง และจะยื่นขอเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ

“เรื่องนี้ก็ไม่มีความหนักใจหรือกังวลแต่อย่างใด ส่วนที่อีกฝ่ายตอบโต้ว่าไม่มีหลักฐานชี้ชัดที่ว่าลุงพลเป็นผู้ก่อเหตุในคดีนี้ เชื่อว่าหลักฐานยังมีอีกมาก มีพยานหลักฐานอีกหลายๆ อย่างที่ค่อนข้างชัดเจนเกี่ยวกับรูปคดี พนักงานสอบสวนก็คงไม่มีวันเปิดออกมาหรอก จนกว่าจะถึงขั้นตอนของการพิสูจน์ในชั้นศาล”

ด้านแม่น้องชมพู่เปิดใจอีกครั้ง ขอบทุกคนที่ยืนเคียงข้างให้กำลังใจ ในขณะที่สังคมผิดเพี้ยน ผู้ต้องหากลายเป็นดารา ผู้สูญเสียกลับเป็นคนถูกสังคมกล่าวหา

เปิดหน้าสู้กันอย่างชัดเจนเช่นนี้ ยืดเยื้อเป็นมหากาพย์แน่นอน!??