สิงคโปร์ชี้ ไม่พบหลักฐาน วัคซีนแบบเชื้อตายมีประสิทธิภาพป้องกันโควิดสูงกว่าแบบ mRNA

เมื่อวานนี้ (7 มิถุนายน 2564) แชนแนลนิวส์เอเชีย ของสิงคโปร์รายงานว่า คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญวัคซีนโควิดที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลสิงคโปร์เผยผลการตรวจสอบว่า ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ได้ว่าวัคซีนโควิดที่พัฒนาจากเทคโนโลยีเชื้อตาย (inactivated virus) จะแสดงประสิทธิภาพสูงในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิดกว่าวัคซีนที่พัฒนาจากเทคโนโลยี mRNA

คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเผยแพร่ข่าวว่า เราพบข้อความบนโซเชียลมีเดียว่า วัคซีนโควิดแบบ mRNA ไม่มีประสิทธิภาพกับเชื้อ(สายพันธุ์ที่น่ากังวล)และระบุว่าวัคซีนจากเชื้อตายให้การป้องกันสูงกว่า แต่จากการประเมินดังกล่าวซึ่งอิงจากการทบทวนข้อมูลและหลักฐานอย่างต่อเนื่อง ยังคงยืนยันว่าวัคซีนแบบ mRNA ที่ได้รับอนุญาตนั้น “ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง” และยังคงแสดงการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ต่อไป

ส่วนวัคซีนไวรัสโควิด-19 แบบเชื้อตายนั้น แสดงผลการป้องกันที่หลากหลาย และขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าวัคซีนไวรัสแบบเชื้อตายจะแสดงประสิทธิภาพของป้องกันสายพันธุ์(ที่น่ากังวล) ได้สูงกว่าวัคซีน mRNA

ปัจจุบันสิงคโปร์จัดหาวัคซีนให้ประชาชนจากไฟเซอร์และโมเดอร์นา ซึ่งทั้งคู่ใช้เทคโนโลยี mRNA ส่วนวัคซีนซิโนแวค สิงคโปร์มีอยู่ 200,000 โดส

ขณะที่วัคซีนซิโนแวคนั้นคณะกรรมการกล่าวว่า ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดสำหรับการอนุมัติ PSAR โดย HSA ต้องการข้อมูลด้านความปลอดภัยและคุณภาพเพิ่มเติมที่จำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน การประเมินยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งวัคซีนซิโนแวค พัฒนาโดยซิโนแวค ไบโอเทคของจีน ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพป้องกันที่หลากหลายในการศึกษาหลายชิ้นที่ดำเนินการในระดับสากล

คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญกล่าวเสริมว่า การวิเคราะห์วัคซีนที่สมบูรณ์ที่สุดพบว่ามีประสิทธิภาพ 51 เปอร์เซ็นต์ในการวิเคราะห์ต่อโปรโตคอล อย่างไรก็ตาม การป้องกันจากสายพันธุ์ที่ใหม่กว่า เช่น สายพันธุ์เดลต้า และภายใต้สภาพการใช้งานจริงยังไม่ทราบ

ทั้งนี้ วัคซีนซิโนแวค COVID-19 ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินโดยองค์การอนามัยโลกเมื่อวันอังคารที่แล้ว WHO แนะนำให้ใช้กับคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ วัคซีนซิโนแวค จึงไม่ใช่ทางเลือกสำหรับเด็กและวัยรุ่นทั่วโลกหรือในสิงคโปร์ภายใต้เส้นทางการเข้าถึงพิเศษ

“เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ต้องไม่เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่มีมูลและไม่เป็นวิทยาศาสตร์และประชาชนมีสิทธิที่จะคาดหวังให้ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ให้คำแนะนำตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่คำยืนยันที่ไม่ได้รับการพิสูจน์” คณะกรรมการกล่าว

นอกจากนี้ ยังเตือนประชาชนให้พึ่งพาแหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่มีชื่อเสียง ตลอดจนตรวจสอบความคิดเห็นที่ผู้อื่นแบ่งปันกับแหล่งข้อมูลดังกล่าว