ชลน่าน แนะเปิดทางทุกยี่ห้อที่ WHO รับรอง นำมาใช้เป็นวัคซีนหลักของประเทศ

‘ชลน่าน’ จี้ยกเลิกวัคซีนทางเลือก หวั่นสร้างความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงวัคซีน แนะเปิดทางทุกยี่ห้อที่ WHO รับรอง นำมาใช้เป็นวัคซีนหลักของประเทศ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 31 พ.ค. 2564 ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการนโยบายด้านสาธารณสุขของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข้อเรียกร้องไปยังศบค. โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ได้รวมอำนาจกฎหมาย 31 ฉบับมาบริหารจัดการเอง ว่า สิ่งที่ทางคณะกรรมการนโยบายฯ เราได้เล็งเห็นถึงสิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจเรื่องวัคซีนทางเลือก

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ซึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้น่าสนใจก็ด้วยเหตุที่ว่าก็คือราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ประกาศให้อำนาจตนเองในการจัดหาวัคซีน ซึ่งทำให้ประชาชนมีความหวังจากการรอวัคซีนจากรัฐบาลที่มีท่าทีว่าจะมาตามนัดหรือไม่ และล่าสุดได้ประกาศยกเลิกการจองในแอปพลิเคชั่นหมอพร้อมและให้ไปลงทะเบียนจองตามแต่ละจังหวัด และนั่นก็ยิ่งเป็นเหตุให้ประชาชนสนใจเข้าไปจองวัคซีนทางเลือกของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ทางพรรคเพื่อไทยเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าศบค.และรัฐบาลไม่ปรับแก้หรือไม่เปลี่ยนแปลงแนวทางในการบริหารวัคซีนจะทำให้เกิดปัญหากับประเทศ ดังนั้นเราจึงเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผอ.ศบค.ได้ยกเลิกคำว่าวัคซีนทางเลือกและประกาศให้วัคซีนที่มีคุณภาพที่ดี มีประสิทธิภาพสูงทุกตัวที่ทางองค์การอนามัยโลกได้ขึ้นทะเบียนว่าเป็นวัคซีนที่ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และทางอย.ได้ขึ้นทะเบียนให้นำมาใช้ในประเทศได้ให้เป็นวัคซีนหลักของประเทศ

“เหตุที่เรียกร้องเช่นนี้เพราะวัคซีนเป็นยาจำเป็นที่จะใช้ปกป้องและขจัดโรคติดต่อออันตรายให้กับประชาชนได้ ดังนั้น วัคซีนทุกตัวที่มีย่อมมีสิทธิ์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาจำเป็นหรือยาหลัก อย่างไรก็ตามการที่เราเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศให้มีวัคซีนหลัก และมีความหลากหลายตามองค์การอนามัยโลกได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัคซีนที่ใช้ในภาวะฉุกเฉิน เช่น โมเดอร์นา, ไฟเซอร์, จอห์นสัน แอนด์จอห์นสัน, แอสตราเซเนก้า”

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ถ้าวัคซีนทุกตัวเป็นวัคซีนทางเลือกและศบค.เองได้อนุญาตให้ภาครัฐและเอกชนสามารถจัดหาวัคซีนมาให้บริการได้ ทุกส่วนก็จะได้ร่วมการจัดหาวัคซีน ต้องชื่นชมราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่ออกประกาศและมีผลให้หน่วยงานภาครัฐที่ไม่ใช่องค์การเภสัชกรรมสามารถจัดหาวัคซีนได้ เดิมทีรัฐอาศัยคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินว่าการจัดหาวัคซีนเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้นโดยอ้างว่าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ดังนั้น จึงเรียกร้องศบค.ให้ปลดล็อกคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะคำวินิจฉัยนั้นเน้นแค่ในระยะแรก เพราะหากเรายังมีคำว่าวัคซีนทางเลือก จะเกิดสิ่งที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ในเรื่องสิทธิของประชาชนในมาตรา 47 วรรคสาม “บุคคลย่อมมีสิทธิ์ได้รับการป้องกัน ขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” แต่รัฐบาลเองได้ประกาศหลีกเลี่ยงและประกาศวัคซีนหลักเพียงตัวใดตัวหนึ่ง จึงทำให้วัคซีนตัวอื่นที่เหลือนั้นตีตราว่าเป็นวัคซีนทางเลือก ผู้ที่ให้บริการหากนำมาให้บริการก็สามารถเก็บค่าใช้จ่ายเอง ถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนและรัฐเองก็ปฏิบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ

“การมีวัคซีนทางเลือกนอกจากไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ยังตามมาด้วยความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีนและเกิดปัญหาบานปลาย ทำให้ประชาชนลุกฮือประท้วงหรือสร้างความวุ่นวายซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ฝากถึงพล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถหาวัคซีนให้กับประชาชน ความสามารถนั้นจะกลับมาย้อนใส่ตัวท่านเอง คือท่านไม่มีวัคซีนคุ้มกันทางการเมือง”

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ต้องรีบประกาศวัคซีนหลัก โดยเฉพาะวัคซีนที่ได้รับการประกาศจากองค์การอนามัยโลกและได้รับการรับรองจากอย.ของเรา วัคซีนทุกตัวเป็นวัคซีนหลักแต่ยกเว้นวัคซีนที่มีคุณภาพต่ำ มีความปลอดภัยที่ยังมีความคลุมเครือ องค์การอนามัยโลกมีเอกสารชัดเจนว่าวัคซีนบางตัวคือซิโนแวคมีความน่าเชื่อถือที่ต่ำสำหรับความปลอดภัย และอีกตัวที่ไทยมีคือแอสตร้าเซเนก้าที่บอกว่าจะเข้ามาในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ 6 ล้านโดสพร้อมฉีดในวันที่ 7 มิ.ย.ก็ฝากให้ติดตามว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะเท่าที่รู้สหภาพยุโรป (อียู) ฟ้องบริษัทแอสตร้าเซเนก้า พีแอลซี ที่ไม่สามารถส่งมอบวัคซีนให้ได้