ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
หลังโควิด-19
โลกจะไม่มีวันเหมือนเดิม
โลกหลังโควิด-19 จะเห็นความเปลี่ยนแปลงหนักหน่วงที่ตอกย้ำความจำเป็นที่ผู้คนจะต้องปรับตัวอย่างชนิดที่ไม่เคยต้องเผชิญมาก่อน
หนึ่งในปรากฏการณ์ใหญ่คือการ “ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” ซึ่งความจริงก็เริ่มขึ้นแล้วก่อนโควิดมาเยือน
แต่หลังโควิดแรงกระชากของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่จะยิ่งรุนแรง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง robotics หรือหุ่นยนต์
Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์
Nanotechnology, Quantum computing, biotechnology, internet of things, 5 G, 3 D printing,
รวมไปถึงรถยนต์ไร้คนขับ self-driving automobiles และ machine learning
แรงผลักดันของนวัตกรรมต่างๆ เหล่านี้จะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและอาชีพรวมไปถึงสังคมด้านต่างๆ อย่างรุนแรงและกว้างขวาง
ไม่แพ้ผลพวงที่เปลี่ยนโลกเมื่อเราเผชิญกับ digital revolution ก่อนหน้านี้
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าก่อนการระบาดของโควิด เราก็เจอกับความ “ป่วน” หรือ disruption ที่มีผลทำให้อุตสาหกรรมหลายอย่างต้องสิ้นสภาพ ทดแทนโดยสิ่งใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น และใช้คนน้อยลง
เป็นที่มาของคำว่า Constructive Destruction ที่แปลว่า “การทำลายเพื่อสร้างสรรค์”
หรือที่นักเศรษฐศาสตร์บางท่านแปลเป็นภาษาแบบชาวบ้านว่า “รื้อ โละ ริเริ่ม”
เป็นสัจธรรมว่าสิ่งใหม่จะมาทดแทนสิ่งเก่า เพราะใช้ทรัพยากรน้อยกว่า ประหยัดกว่า เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า
สิ่งที่มีนวัตกรรมสูงมาทดแทนสิ่งเดิม
นั่นหมายถึงการที่กิจกรรมเก่าที่ล้าสมัย ไม่ตอบโจทย์ของสังคมใหม่ก็ต้องถูกรื้อหรือโละทิ้งไป
หันมาริเริ่มสิ่งใหม่ที่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าแต่มีประสิทธภาพสูงกว่า
สิ่งที่จะตามมาคือคนที่ตามการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ไม่ทันก็จะตกงานนอกจากจะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
ยกเว้นเสียแต่ว่าทั้งภาครัฐและเอกชนจะเอาจริงเอาจังกับการลงมือทำเรื่อง RUN ตั้งแต่วันนี้
Reskill
Upskill
New Skill
หมายถึงหนึ่งทักษะเดิมที่ต้องปรับให้สูงขึ้นตามความต้องการและความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
สอง คือการยกระดับทักษะให้เข้าสู่ความสามารถและประสิทธิภาพที่ตลาดยุคใหม่ต้องการ
และสาม คือทักษะใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือไม่ได้สอนที่ไหนในวันนี้
อีก 3-5 ปีจากนี้ไป ตำแหน่งงานที่มีอยู่วันนี้อาจจะหายไปกว่า 30%
ยิ่งกว่านั้นตำแหน่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้าอาจจะเป็นหน้าที่งานการที่ยังไม่เกิดทุกวันนี้
หรือเป็นตำแหน่งงานที่ไม่มีใครรู้จักวันนี้
นั่นแปลว่าทุกคนต้องเรียนรู้ระหว่างทาง และปรับตัวไปพร้อมๆ กับการประคองตนให้ผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้
หากไม่รอดวิกฤตโควิด, ก็ไม่อาจจะเข้าสู่โลกยุคหลังโควิดได้
สิ่งที่จะตามมาในสังคมหลังโควิดคือความเหลื่อมล้ำกันในด้านต่างๆ
ประกอบกับกระแสต่อต้าน “โลกาภิวัตน์” หรือที่เรียกว่า deglobalization และคัดค้านระบบทุนนิยมหรือ Anti-capitalism อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อหน้าที่งานการเปลี่ยนรูปโฉมและเนื้อหาไป ช่องว่างรายได้ระหว่างคนงานมีทักษะและไร้ทักษะในยุคโลกใหม่ก็จะยิ่งกว้างขึ้น
ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนซึ่งทุกวันนี้ก็เป็นปัญหาหนักหน่วงอยู่แล้วจะยิ่งเสื่อมทรุดลงไปอีก
ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงที่เพิ่มระดับขึ้นอีก
และจะผลักดันให้นักการเมืองบางประเทศโยนบาปไปให้กับต่างชาติและอิทธิพลจากข้างนอก
แทนที่จะแสวงหาคำตอบจากสาเหตุที่แท้จริง
นั่นคือการที่ผู้นำการเมืองไม่อาจจะเป็นผู้ริเริ่มการปรับตัวของคนทั้งสังคมให้ทันกับเทคโนโลยีได้
เมื่อวาทกรรมเรื่อง “อิทธิพลต่างชาติ” และ “การแสวงหาประโยชน์จากข้างนอก” ร้อนแรงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตน นักการเมืองเหล่านี้ก็จะหันเหไปสู่การเมืองแบบ “ชาตินิยม” และ “ประชานิยม” Nationalism กับ populism เหมือนเป็นคู่แฝดทางการเมืองที่กลายเป็น “ไพ่” สำหรับการปั่นกระแสต่อต้านสิ่งที่เป็นอยู่
หรือไม่ก็เป็นการปลุกอารมณ์ผู้คนให้ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง
สําหรับนักการเมืองรุ่นเก่า การรักษา “สถานภาพเดิม” หรือ status quo นั้นเป็นประโยชน์สำหรับการหาเสียงหรือสร้างความนิยมของตน
นั่นคือการสร้างวงจรอุบาทว์เดิมๆ ของการเมืองที่เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการพาประเทศผ่านพ้น “กับดักรายได้ปานกลาง”
นักการเมืองรุ่นเก่าจะพยายามให้ประชาชนถูกปิดล้อมอยู่ใน “เขตคุ้นเคย” หรือ comfort zone ของตน
เพราะเมื่อประชาชนไม่เรียกร้องความเปลี่ยนแปลง เลือกที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ผู้ปกครองก็สามารถกำกับและควบคุมพฤติกรรมของประชาชนได้ง่ายขึ้น
แต่ความจริงที่หนีไม่พ้นก็คือประชาชนจะถูกกระทบโดยคลื่นแห่งเทคโนโลยีหนักขึ้นหลังโควิดผ่านไปแล้ว
เพราะธุรกิจที่ผ่านประสบการณ์โควิดและ technological disruption มาแล้วจะเริ่มใช้หุ่นยนต์และตัดสินใจด้วยข้อมูลหรือ big data กับ AI มากขึ้น
นั่นแปลว่าการว่าจ้างแรงงานคนจะน้อยลง
เหตุหนึ่งก็เป็นเพราะการระบาดของโควิดทำให้เกิดบทเรียนว่าการรักษาระยะห่างระหว่างคนเป็นเรื่องสำคัญ
ยิ่งมีการปฏิสัมพันธ์ของคนต่อคนน้อยลงเท่าใด ก็ยิ่งจะปลอดจากการแพร่เชื้อเท่านั้น
จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมในหลายธุรกิจเราเห็นหุ่นยนต์ถูกใช้ในการวัดอุณหภูมิของคน
หุ่นยนต์ถูกใช้ถูพื้น
เอไอถูกใช้ในการทำงานพื้นๆ ที่มนุษย์ทำได้
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่จะตามมาก็คือหลายประเทศจะเริ่มดึงเอากระบวนการผลิตกลับบ้าน
เพราะไม่ต้องใช้แรงงานท้องถิ่น และเมื่อห่วงโซ่ของการรับและส่งสินค้าหรือระบบ logistics ถูกออกแบบใหม่ให้สั้นลง หลายอุตสาหกรรมก็จะลดการตั้งโรงงานและระบบการผลิตในต่างประเทศอย่างที่เห็นกันอยู่วันนี้
ปรากฏการณ์อย่างนี้เรียก Reshoring อันหมายถึงการดึงเอาการผลิตกลับมาอยู่ประเทศของตัวเอง
บทวิจัยของ LSE Business Review เมื่อสองปีก่อนตอกย้ำบทสรุปนี้ว่า
Automation will speed up reshoring
หมายความว่า
เมื่อกระบวนการผลิตกลายเป็นอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีมากขึ้น สิ่งที่จะตามมาก็คือการดึงเอากระบวนการผลิตกลับไปบ้านตัวเองมากขึ้น
คนงานในประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำที่เคยเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของธุรกิจข้ามชาติก็ไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป
หากประเทศไทยเราไม่ทำให้แรงงานของเรายกระดับ, ปรับทักษะ และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ปัญหาที่ตามมาก็คือคนจบสถาบันการศึกษาทุกระดับจะหางานทำไม่ได้
นำไปสู่ความไม่พอใจต่อสิ่งแวดล้อมในสังคม
ตามมาด้วยความอิดหนาระอาใจกับระบอบการเมืองเดิม
กระแสชาตินิยมและประชานิยมจะเพิ่มความเร่าร้อนให้กับการเมืองในระดับต่างๆ
และอาจจะนำไปสู่ความวุ่นวายในสังคมที่สร้างปัญหาด้านอื่นๆ อันเป็น “ผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์” ได้
ยิ่งเมื่อไทยเรากำลังเข้าสู่ “สังคมคนสูงวัย” ก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหาที่ทับซ้อนอีกด้านหนึ่ง
เพราะเมื่อคนอายุเกิน 60 มีจำนวนใกล้ 20% ของประชากร ภาระด้านงบประมาณที่ดูแลสุขภาพของคนกลุ่มนี้เป็นประเด็นหนักขึ้นทุกปี
ขณะเดียวกันคนวัยทำงานก็มีน้อยลง ไม่อาจจะหารายได้เพื่อดูแลประชากรสูงวัยได้ในสัดส่วนที่เหมาะสม
เป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่ท้าทายความสามารถของสังคมที่จะเฟ้นหาผู้นำมาบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างหนักหน่วงยิ่งนัก