โรม อัด 7ปี รปห.ที่สุดแห่งความหดหู่ ทำประเทศย่ำอยู่กับที่ ชี้เป็นทศวรรษที่สูญเปล่า

‘โรม’ นิยาม ‘7 ปี รปห.’ คือ ทศวรรษที่สูญเปล่า กักขังประเทศย่ำอยู่กับที่ หวัง คนเชียร์ ‘ประยุทธ์’ สุดลิ่ม หายตาบอด หยุดเป็นฐานรองอำนาจ
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงวันครบรอบ 7 ปี รัฐประหาร ว่า ตั้งแต่วันที่รัฐบาลเข้ามาในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เรารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางพาประเทศไทยไปข้างหน้า แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันกว่าคือ รัฐบาลอยู่นานกว่าที่คิด ทำให้ประเทศไทยไม่ไปไหนเลย เกือบจะกลายเป็น 1 ทศวรรษที่สูญเปล่าของสังคมไทย หลายเรื่องที่ควรจะได้รับการพัฒนา เช่น การศึกษา สุขภาพ หรือเศรษฐกิจปากท้อง ก็ไม่ได้รับการพัฒนา นอกจากนี้ยังใช้งบประมาณไปกับกองทัพและความมั่นคงทางการทหาร ทำให้เด็กที่เติบโตในช่วงการรัฐประหารรู้สึกสิ้นความหวังกับประเทศนี้ แม้ก่อนหน้าจะมีปัญหาขรุขระจากการรัฐประหาร 2549 แต่หากให้เวลาสังคมไทยจะหาทางในการแก้ปัญหาเองได้ เมื่อใช้วิธีรัฐประหารอีกครั้งสังคมไทยจึงไม่ไปไหน ปัจจุบันจึงสะท้อนออกมาเป็นกรณีที่กลุ่มคนที่มีความฝันที่จะออกไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้มีความฝันที่อยากจะพัฒนาประเทศนี้ เพราะพวกเขารู้สึกว่าไม่มีหนทางที่จะแก้ไขปัญหาได้อีกแล้ว

เมื่อถามว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังอยู่อำนาจต่อไปจบครบวาระจะทำให้ประเทศไทยเป็นอย่างไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ที่มีอำนาจเต็ม และมีอำนาจมากที่สุด ในระดับที่นายกฯ คนอื่นคงต้องอาย เมื่อเป็นรัฐบาล คสช. ก็มีมาตรา 44 และปัจจุบัน ก็มีพระราชกำหนดฉุกเฉิน สามารถสั่งข้าราชการซ้ายหันขวาหัน ข้าราชการหลายคนที่ทำงานตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามามีอำนาจก็เติบโตเป็นรากแก้วและรากฐานให้กับพล.อ.ประยุทธ์ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ตนคิดว่าพล.อ.ประยุทธ์มีเวลาเหลือเฟือในการพิสูจน์ตนเอง แต่สิ่งที่เราจดจำในผลงานนั้นแทบไม่มีเลย

หลายเรื่องสะท้อนถึงความล้มเหลวในการไม่เตรียมพร้อมโดยเฉพาะการแก้ปัญหา โควิด-19 ที่เป็นปัญหาระดับโลก ที่ไม่มีประเทศไหนรู้ว่าจะเกิดขึ้น แต่ก็เกิดขึ้นนานพอที่จะทำให้เรามีการเตรียมตัว แต่สุดท้ายเราก็พบว่ารัฐบาลล้มเหลวในการเตรียมตัวต่างๆ เพราะระลอก 3 ยังจัดการไม่ได้ แต่ระลอก 4 ก็จะเกิดขึ้นอีก รวมถึงการจัดการวัคซีนที่น่าสิ้นหวัง ที่สำคัญคือความล้มเหลวของพล.อ.ประยุทธ์ คือความล้มเหลวของประเทศชาติ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯ มาตลอด 7 ปี ถ้าเราไม่อยากอยู่กับผลลัพธ์ของการรัฐประหาร 2557 ก็มีวิธีการคือ การออกจากระบอบการปกครองแบบนี้ และต้องออกจากโครงสร้างทางการเมืองที่นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ ก้าวแรกคือ ต้องไม่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผลความล้มเหลวเหล่านี้ จะทำให้ประชาชนตาสว่างและไม่ยอมรับการรัฐประหารต่อไปในอนาคตใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า “ผมว่ามันสว่างจ้าเลย เพราะคนได้เรียนรู้ และจะกลายเป็นบทเรียนที่สำคัญในการตัดสินใจและยอมให้เกิดการรัฐประหารขึ้น เพราะการรัฐประหาร 2557 เกิดขึ้นได้เพราะมีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า กปปส. สร้างเงื่อนไข ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาทำรัฐประหาร ปาร์ตี้หนึ่งที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารคือนักการเมืองกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อผ้าลายพรางมีความสุขกับการรัฐประหารแล้วถือว่าเป็นชัยชนะของตัวเอง แต่ในท้ายที่สุดก็พิสูจน์ว่าผิดพลาดอย่างไร ที่นำทหารเข้ามาสู่การเมือง เพราะเรากำลังทำให้คนที่ไม่มีหน้าที่มาเป็นนายกฯ มาเป็นนายกฯ”

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนมองทศวรรษที่หายไปในฐานะของความหดหู่ เพราะเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในทศวรรษน่าผิดหวังนี้ เกิดความสิ้นหวังกับประเทศนี้ และคิดว่าการไปอยู่ในประเทศที่สภาพแวดล้อมที่ดีต่อตัวเองก็อาจจะดีกว่า ส่วนที่ตนพอจะมีความหวังคือผู้ที่เคยมืดบอดกับการเชียร์พล.อ.ประยุทธ์ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู วันนี้อาจจะเปลี่ยนไป อาจจะเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าอยู่กับประเทศนี้ไม่ได้ คำถามที่สำคัญคือจะต้องรอนานอีกหรือไม่