คุยกับคิง ก่อนบ่าย เรื่องประชาธิปไตยต้องแสดงออกได้ สถานการณ์แห่งความล่าช้า และประชาชนคือผู้รับกรรม/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

คุยกับคิง ก่อนบ่าย

เรื่องประชาธิปไตยต้องแสดงออกได้

สถานการณ์แห่งความล่าช้า

และประชาชนคือผู้รับกรรม

 

หลังจากคิดและใคร่ครวญมาได้ระยะหนึ่ง ณภัทร ชุ่มจิตตรี ที่แฟนๆ สายฮารู้จักในนาม ‘คิง ก่อนบ่าย’ ก็ตัดสินใจโพสต์เฟซบุ๊ก ‘ณภัทร คิงก่อนบ่าย ชุ่มจิตตรี’ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยว่า

“การเมืองถ้าวิจารณ์ไม่ได้ ถ้าถึงวันเลือกตั้งเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องมาหาเสียงกับประชาชนนะครับ

…นักการเมืองไม่ใช่เทวดา ตอนหาเสียงยกมือไหว้แทบทุกบ้าน แล้วตอนเกิดปัญหาทำไมไม่มาหาทุกบ้านล่ะครับ

…ประชาธิปไตยเราต้องยอมรับความเห็นต่าง อย่าผลักคนเห็นต่างเป็นศัตรู

…เชียร์ฟุตบอลคนละทีมยังอยู่ด้วยกันได้ แล้วทำไมเชียร์พรรคการเมืองต่างกันถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้

…เรามาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ดีกว่ามั้ยครับ วิกฤตประเทศตอนนี้คืออะไร เอาความจริงมาคุยกัน แล้วเราจะเดินไปพร้อมกัน

…ตอนนี้เราติดตรงไหน แก้ตรงนั้น เราจะร่วมมือกันอย่างไร เพื่อจะให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างปกติ

…สามัคคีคือพลัง พวกเราจะผ่านไปได้

…สุดท้ายคือ ใครจะดราม่า โปรดฟังผมดังนี้

1. ผมไม่ชอบการทำงานของรัฐบาล ณ เวลานี้ ที่ทำงานล่าช้า

2. ผมรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

3. ทำทุกอย่างให้เป็นบรรทัดฐาน เพราะเด็กรุ่นหลังคือคนที่จะสืบทอดต่อจากเรา

4. ขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน

5. ขอเป็นกำลังใจให้จิตอาสาทุกคน

6. ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยทุกคน

เรามาเติมใจให้กันครับ แล้วเราจะผ่านมันไปได้”

 

ทั้งนี้ คิงซึ่งเมื่อราว 2 ปีก่อน เคยโพสต์คลิปการแสดงบนเวทีที่เขาเลียนเสียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะลบโพสต์ดังกล่าวในภายหลัง เพราะ ‘คนในครอบครัวไม่สบายใจ’ บอกกับมติชนสุดสัปดาห์ว่า ก่อนจะโพสต์ครั้งนี้เขาตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว

“ก็เห็นข่าวหลายๆ คนที่แสดงออกทางการเมืองแล้วมีผลกระทบ มีฟีดแบ็ก โน่น นี่ นั่น ทั้งๆ ที่คำว่าประชาธิปไตยจริงๆ แล้วมันน่าจะแสดงออกได้ และการเห็นต่างไม่น่าเป็นประเด็น ว่าเห็นต่างแล้วเราเป็นศัตรูกัน แล้วผลักดัน ยัดเยียดอะไรให้เขา”

การออกมาแสดงความเห็นครั้งนี้ คิงบอกว่ามีเหตุผลเดียวคือทำหน้าที่ในการเป็นกระจก

“ประชาชนคือกระจกของนักการเมือง ถ้าเราไม่สะท้อนให้เห็น ว่าการทำงานที่คุณทำอยู่ การที่คุณเป็นอยู่แบบนี้ มันผิด มันไม่ใช่นะ นักการเมืองก็จะไม่มีทางรู้เลย”

“ตอนหาเสียงคุณแทบจะมากราบ มาไหว้ ลูกเด็กเล็กแดง คุณไหว้หมด มีอะไรบอกผมนะ มีปัญหาอะไรได้หมด ถูกไหมฮะ แต่พอในช่วงปัญหา ในช่วงโควิด มีนักการเมืองกี่คนที่เดินเข้ามาถามสารทุกข์สุกดิบประชาชน อันนี้คือทุกภาคส่วนนะ ไล่ตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงท้องถิ่น”

“แล้ววิกฤตโควิดผมอยากให้มองว่ามันเหมือนน้ำท่วมทั้งประเทศ ทุกคนก็ต้องร่วมมือร่วมใจกัน ไม่มีแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่มีว่าไปปรึกษาใครไม่ได้ ไปขอความร่วมมือไม่ได้ เพราะไม่ใช่พรรคเดียวกัน ไม่ใช่พวกเดียวกัน อะไรอย่างนี้ ช่วยกัน เอาให้จบทีเดียว แล้วเราจะได้เดินหน้าต่อกันทุกๆ คน”

“สิ่งที่ผมมองคือตอนนี้ประชาชนเป็นผู้รับกรรม พ่อค้า แม่ค้า คนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการทำให้เกิดวิกฤตระลอกใหม่ ซึ่งอย่างผม ถ้ามีคนมาบอกว่าวิพากษ์วิจารณ์แล้วคุณช่วยอะไรชาติบ้าง ก็นี่ไงครับ ผมอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ เพราะกำลังทรัพย์ผมทำได้เท่านี้ ถ้าผมมีเงิน มีสถานที่ ผมก็อาจจะให้ความร่วมมือในกำลังที่สามารถทำได้ นี่คือเราไม่เป็นพาหะนำโรค ไม่ไปรับโรคจากใคร ไม่ทำอะไรนอกเหนือจากภาครัฐกำหนด”

นั่นคืออะไรที่สามารถทำได้ เขาก็ทำให้หมดแล้ว

 

การตัดสินออกมาแสดงความเห็น ทั้งๆ รู้ดีว่าอาจมีผลกระทบ คิงก็ว่า ในมุมของเขา “ถ้าเราเอาหลักความจริงขึ้นมาพูด คนที่มองออกก็น่าจะเข้าใจ เพราะผมไม่ได้สร้างให้ใครเกลียดชังใคร แต่เรามองภาพหลักจริงๆ”

“ผัว-เมียที่คิดเห็นไม่ตรงกัน ทำไมอยู่ด้วยกันได้ เพื่อนในกลุ่มชอบฟุตบอลคนละทีม ก็อยู่ด้วยกันได้ แต่พรรคการเมือง เราต้องให้ทุกคนเห็นพ้อง เห็นเหมือนกันเหรอ และถ้าเราอยากให้ใครเห็นเหมือนเรา เราก็ต้องทำให้เขาเห็นสิ ว่าเพราะอะไรคุณถึงต้องชอบพรรคการเมืองเดียวกับเรา นำเสนอให้เขาเห็นคล้อยตาม แต่ไม่ใช่ชอบพรรคการเมืองไม่เหมือนกัน แล้วบอกมึงไม่รักชาติ ชังชาติ อย่างนี้ผมว่าไม่เป็นธรรม”

“ถ้าเราทิ้งเส้นทิฐิ จุดบางๆ บางอย่าง ผมว่าเรายังมีความหวัง แต่ถ้าเรายังไม่ก้าวผ่านอดีต แล้วยังผลักคนเห็นต่างไปเป็นศัตรู ยังไงก็ก้าวไม่พ้นหรอกครับ เราต้องมองให้เป็นปัจจุบัน ว่าคนเรามีสิทธิ์คิด ให้เคารพความคิดขั้นพื้นฐานของแต่ละคน แล้วเราก็อย่าไปเดินตามรอยร้าวที่มันเป็น แค่นั้นเอง”

ในส่วนที่วิจารณ์รัฐบาลว่าทำงานล่าช้า คิงก็ว่า “ถ้ามันไม่ล่าช้า ผมคิดว่าปัญหามันหายไปตั้งแต่รอบแรก และเราก็รู้กันดีอยู่ ว่าที่ระบาดๆ กี่รอบๆ เกิดจากใคร ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากประชาชนระดับรากหญ้าที่ต้องมารับผลกระทบ ทีนี้ก็ต้องไปแก้ไข แต่จะแก้ไขยังไงให้มันทัน ให้มันเร็ว ยิ่งนานไป ความเชื่อมั่นต่างๆ ก็หาย แล้วมันก็ล้มเป็นโดมิโน เพราะว่าได้รับผลกระทบกันทั้งหมด รัฐต้องมีมาตรการให้ชัดเจนเลย จะทำยังไง แก้ไขยังไง ขอความร่วมมือยังไง เอาให้ชัดเจน แล้วก็จบ”

“แต่นี่ไม่มีความชัดเจนเลย”

 

ถามเขาไปว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ตัวของเขา รวมถึงคนรอบข้าง มีใครที่ได้รับผลกระทบถึงขั้นลำบากหนักไหม?

คิงตอบทันที “ไม่ต้องมองใครเลย เอาแค่ตัวเรา ที่ตอนนี้อยู่ได้ถึงแค่ประมาณสิ้นเดือนกับเงินที่มี สิ้นเดือนนี่คือหมดแล้ว เงินหมด ไม่มีเงินใช้ ถ้าสถาบันการเงินยังไม่หยุดให้”

ถามไปถึงเงินเก็บจากรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการแสดงตลกและงานดนตรีที่เขาทำควบ คิงก็ว่าหมดไปในช่วงที่งานโดนแช่แข็งจากสถานการณ์โควิด เพราะเขามีทั้งค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าใช้จ่ายในบ้าน รวมถึงเงินที่ให้ครอบครัว และพ่อ-แม่

“ทุกวันนี้ที่ประคองตัวอยู่ คือหาของมาขาย ดิ้นให้สุด ซึ่งเราก็ไม่เคยโทษเพราะว่ามันคือวิกฤต แต่ถ้าได้ความชัดเจน ผมก็วางแผนได้ ประชาชนทุกคน ห้างร้านค้าก็วางแผนได้ว่า ว่าจะทำอะไรต่อไป”

เรื่องการผ่อนต่างๆ คิงบอกว่าเขาได้ติดต่อสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อขอผ่อนผันแล้ว ซึ่งถ้าไม่ได้รับอนุมัติ ก็คงต้องหยุดผ่อนไว้ และยอมรับมาตรการต่างๆ ที่จะมีมา

“เรื่องตรงนี้ผมไม่ได้โทษใครนะ ที่ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผมก็โทษตัวผมเอง ว่าเราเป็นคนสร้างขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่มันเกี่ยวโยงคือคุณไม่ให้ผมทำงานไง นั่นก็คือที่ผมโพสต์ไปว่าไม่ชอบรัฐบาลทำงานล่าช้า”

“ผมว่านั่นมันครอบคลุมทั้งหมด”