วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ : สงครามระหว่างการกลายพันธุ์ของโควิดกับวัคซีนของมนุษย์

เมื่อปีกลายนี้เวลานี้เรากำลังใกล้จะคลายจากล็อคดาวน์ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน แต่ปีนี้เราทำท่าจะต้องขันชะเนาะล็อคดาวน์ในแน่นขึ้น โดยเฉพาะแถวเมืองหลวง จำนวนผู้ป่วยใหม่ ๆ ทรง ๆ แต่จำนวนผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ความจริงเป็นการทะยอยเพิ่มตามจำนวนผู้ป่วยใหม่ที่เพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ช่วงนี้เรายังมีการค้นพบคลัสเตอร์ใหม่ ๆ เกือบทุกวันในเมืองหลวง ถ้าจะจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ใกล้เคียงกับจำนวนที่รักษาหายในแต่ละวัน อีกสักพักจำนวนคนตายในแต่ละวันที่กำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะคงที่ ถ้าวันหนึ่งมีผู้ป่วยใหม่ไม่เกินสองพันคนซึ่งรัฐบาลบอกว่าโรงพยาบาลพอรับไหว ระยะยาวก็จะมีคนตายเฉลี่ยไม่เกินสี่สิบคน แต่ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ป่วยหนักก็จะเพิ่มจนโรงพยาบาลรับไม่ไหว ต้องให้ไปรักษาตัวเองที่บ้าน เมื่อนั้นก็จะได้ S curve เส้นใหม่ หมายถึงว่าเราจะเห็นทั้งการตายและการป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในที่สุดการขันชะเนาะล็อคดาวน์ในเมืองหลวงน่าก็จะหลีกเลี่ยงได้ยาก

แหม ตอนปีกลายเราก็หน้าใหญ่เป็นประเทศที่ควบคุมโควิดในลำดับต้น ๆ แล้วนา วันนี้เสียฟอร์มหมด สิ่งที่ทำให้เราเสียฟอร์มคือการเข้ามาของเชื้อกลายพันธุ์จากอังกฤษที่เขาว่าผ่านมาทางเขมร เขาว่าเชื้อนี้ติดได้ง่ายกว่าเดิม 70% แต่ผมดูตัวเลขแล้วน่าจะมากกว่านั้น เมื่อปีกลายการถ่ายทอดเชื้อในบ้านสำเร็จราว 20% สมาชิกในครัวเรือน แต่คราวนี้กว่าครึ่งหรือบางแห่งอาจจะยกครัว อย่างนี้สูงกว่า 70% แน่นอน

ผมจำเป็นต้องเตือนพวกเราว่า การที่เราเจอเชื้อถ่ายทอดได้เก่งอย่างนี้ การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่โดยการฉีดวัคซีนจะได้ผลน้อยลงมาก เดิมตั้งเป้าว่าฉีดให้ได้ 60-70% ก็พอที่โรคจะสงบเปิดประเทศได้ คราวนี้ไม่พอแน่ ๆ เพราะเชื้อจะสามารถซอกแซกเล็ดลอดจากคนที่ติดเชื้อคนนึงไปหาคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจนเจอ ทำให้โรคไม่สงบลงสักที เชื้อยิ่งติดกันง่าย เราก็ยิ่งต้องฉีดวัคซีนให้ได้มากขึ้น สำหรับเชื้อสายพันธุ์ผู้ดีนี้ ถ้าฉีดไม่ถึง 90% น่าจะยังมีการระบาดอยู่เป็นระยะ อย่างน้อยเป็นปีสองปี

ปัจจัยที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ไม่ดีพอ ไม่ได้อยู่ความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนอย่างเดียว มันอยู่ที่คุณสมบัติของวัคซีนด้วย ถ้าวัคซีนเพียงแค่”เลี้ยงไข้” ช่วยคนถูกฉีดไว้ไม่ให้ป่วยหนักและไม่ให้ตาย แต่ยังปล่อยให้แพร่เชื้อ ภูมิคุ้มกันหมู่ก็จะเกิดได้ไม่เต็มที่ ข่าวดี คือ ดูเหมือนในขณะนี้ว่าสายพันธุ์อังกฤษยังไม่มีข่าวว่าดื้อวัคซีนโดยเฉพาะวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า (AZ) ที่กำเหนิดมาจากประเทศเดียวกันอาจารย์หมอยงตรวจสอบแล้วบอกว่าได้ผลดี

ส่วนวัคซีนจากจีนดูเหมือนยังไม่เคยเผชิญหน้ากับกองทัพเชื้อโควิดจากอังกฤษอย่างจริงจังเลยสักสนาม เมืองไทยนี้กระมังที่จะเป็นที่พิสูจน์ฝีมือวัคซีนจีน อีกสักเดือนสองเดือนก็จะรู้ คุณหมอคุณพยาบาลที่ได้วัคซีนจีนไปครบสองเข็มจะติดเชื้อโควิดในระลอกสามแค่ไหน

 

ข่าวร้ายเพิ่มเติม คือ ได้ข่าวมาว่าเชื้อจากเมืองขึ้นเก่าของอังกฤษก็ก่อขบถ ไม่ยอมแพ้วัคซีน AZ ทั้งสายพันธุ์แอฟริกันและอินตะละเดีย ถ้าสองสายพันธุ์นี้ระบาดในไทยได้สำเร็จ เราก็คงต้องบริจาควัคซีน AZ ที่เราผลิตเองให้ประเทศอื่น แล้วไปหาวัคซีนยี่ห้ออื่นมาฉีดกันเหมือนอย่างที่แอฟริกาใต้ทำอยู่

จำได้ว่าตอนครึ่งหลังของปีกลาย เพื่อน ๆ ที่เมกาและยุโรปต้องหลบโควิดที่ระบาดหนักแถวนั้นทะยอยหนีโควิดกลับมาเมืองไทย พวกเราอยู่เมืองไทยก็สงสารเพื่อนที่ติดอยู่ทีเมกาแบบใจหายใจคว่ำ ตอนนี้กลับข้างกันแล้ว ทีเมกาการระบาดลดลงตามลำดับ วัคซีนมีเหลือเฟือจนเป็นเครืองมือโฆษณาการท่องเที่ยวไปแล้ว ในขณะที่คนไทยกำลังลุ้นว่าเมื่อไหร่เราจะได้ฉีดวัคซีนกันซะที เพื่อน ๆ ทีเมกาส่งความเห็นใจกลับคืนมาให้เราใจหายใจคว่ำแทนเรา ที่น่าสงสารคือพวกที่หนีกลับจากเมกามาเมืองไทยตอนปลายปีซึ่งต้องใจหายใจคว่ำทั้งเมื่ออยู่เมกาและอยู่ไทย ถ้าทนอยู่เมกาป่านนี้ฉีดได้วัคซีนและไปเที่ยวไหนต่อไหนเฉิบแล้ว แต่นี่ต้องมาลุ้นรอบสอง

มนุษย์กับเชื้อโควิดทำสงครามรักษาเผ่าพันธุ์ของตนอยู่ครับ โควิดรักษาเผ่าพันธุ์โดยการแพร่กระจายอาศัยร่างกายมนุษย์เป็นโรงงานผลิต มันไม่มีสมอง แต่ความพยายามเพิ่มจำนวนเหมือนความโลภของมนุษย์ที่ต้องการเป็นเจ้าครอบครองทุกอย่างก็ไม่ผิดกันโควิด หลังจากมนุษย์แพร่พันธุ์บนโลกได้สำเร็จก็ค่อย ๆ กวาดล้างธรรมชาติจนสปีส์ชีส์ต่าง ๆ สูญพันธุ์พินาศสิ้น เมื่อตอนนี้มาเจอโควิดเข้าก็มนุษย์ก็ต้องพยายามรักษาเผ่าพันธุ์ของตนอยู่เหมือนกัน

 

การขยายเผ่าพันธุ์โดยการสืบพันธุ์มีลูกมีเมียมาก ๆ เป็นเรื่องคนโบราณที่มีทรัพยากรอย่างเช่นที่ดินล้นหลาม มนุษย์สมัยใหม่ทรัพยากรจำกัด อย่างที่เคยคุยเมื่อปีที่แล้วว่ามนุษย์กำลังประสบกับ crowdedness effect ต้องเปลี่ยนการเจริญเติบโตจากโค้งขาขึ้นของตัว S ไปเป็นเส้นราบ Crowdedness หรือ การอยู่กันหนาแน่นเกินไปทำให้มนุษย์รุ่นใหม่มองไม่เห็นอนาคต ใช้เวลาไปกับปัจจุบันอย่างเดียว อยู่เป็นโสดนาน ๆ ถึงจะแต่งงานไปก็ไม่อยากมีลูกหรือมีให้น้อยที่สุด มนุษย์ส่วนหนึ่งมีเพศสภาพที่ไม่เจริญพันธุ์เพิ่มขึ้น มนุษย์สู้กับโควิดจึงไม่ได้เพื่อขยายเผ่าพันธุ์แต่เพื่อธำรงเผ่าพันธุ์ไว้ไม่ให้สูญพันธุ์ไว้ก็พอ

ฉากการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับโควิด คือ ฉากการรบระหว่างวิวัฒนาการของเชื้อที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากการผ่าเหล่ากลายพันธุ์อย่างเดียว กับมนุษย์ซึ่งมีมันสมองความรู้และวิธีคิดสลับซับซ้อน ตอนนี้มนุษย์มีอาวุธหลักสองประการ อาวุธแรกที่ไทยเคยใช้ได้ผล คือ เปลี่ยนวิถีชีวิตให้อยู่ห่างกันและกัน สวมหน้าการ ล้างมือบ่อย ๆ เชื้อแพร่ไม่ได้ก็ค่อยหายไปเอง

อือม์ ถ้าเมื่อปีกลายคนทั้งโลกพร้อมใจกันจัดระบบแบบประเทศไทย โควิดอาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลกเหมือนที่ซาร์สสูญพันธุ์ไปก็ได้ แต่ก็น่าเสียดายวิธีแบบโบราณที่ใช้ปราบกาฬโรคคือ social distancing ทำได้ซักพักก็ล้า โดยเฉพาะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ นอกจากนี้โรคยังระบาดในต่างประเทศไม่รู้จักหยุดหย่อน ในที่สุดเราก็เลยต้องใช้ social distancing อย่างย่อหย่อนพอเป็นพิธี ยอมมอบตัวให้โควิด

อาวุธที่สองของมนุษย์ คือ วัคซีน ซึ่งเป็นอาวุธที่คนรวยผลิตและครอบครอง วัคซีนตอนนี้จึงเป็นเหมือนวิวัฒนาการของความรู้ของมนุษย์ซึ่งเอาไว้พิทักษ์เผ่าพันธุ์ของตน สู้กับวิวัฒนาการของโควิด

ผมคิดว่า ฉากมื่นชื่นสนุกสนานที่เราเห็นในประเทศที่ฉีดวัคซีนได้ครบ อาจจะเป็นเพียงฉากชั่วคราว ไม่ต่างกับฉากในประเทศไทยก่อนปลายปีที่แล้วที่เราคิดว่าเราจะฟื้นตัวแล้ว ในวิเคราะห์ SWOT ตัว S คือ strength หรือความเข้มแข็ง และ W คือ weakness หรือจุดอ่อน ใคร ๆ ก็มองเห็น แต่มนุษย์มักจะเห็นและชื่นชม O คือ opportunity หรือโอกาส เกินความเป็นจริง และมองไม่เห็นและไม่เตรียมรับ T คือ threat หรือภาวะคุกคาม อย่างเช่นหมอและนักวิทยาศาสตร์และรัฐบาลไทยเรากันเองเห็นโอกาสที่เราจะผลิตและพัฒนาวัคซีนของเราเองด้วยต้นทุนที่ถูก มองไม่เห็นว่าการคุกคามว่าจะมีการผ่าเหล่ากลายพันธุ์ของโควิดมาล้างผลาญเราก่อนที่เราจะมีวัคซีนมากพอ

ตอนนี้เมกากำลังดีใจ แสดงแสนยานุภาพด้านไบโอเทคโนโลยี ชนะประเทศรายได้ปานกลางอย่างจีน รัสเซียและอินเดีย เมกามองไม่เห็นว่าเมื่อวัคซีนกลายพันธุ์จนดื้อวัคซีนที่ตัวเองมีอยู่ ทั้งจากสายพันธุ์นำเข้าและจากสายพันธุ์ที่ผ่าเหล่าภายในประเทศ เมกาก็อาจจะกลับแย่อีกครั้งหนึ่งได้ ในขณะนี้ไม่ว่าประเทศไหนก็ยังไม่สามารถชนะโควิดได้เด็ดขาดหรอกครับ

อาจจะมีคนถามว่าแล้วเจ้าโควิดมันจะกลายพันธุ์ต่อไปยังไง โควิดก็แข่งขันกันเองระหว่างสายพันธุ์เหมือนประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ แข่งขันกันเรื่องเทคโนโลยี สายพันธุ์ที่มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมบริบทในขณะนั้นก็จะดำรงอยู่แล้วแพร่พันธุ์ต่อไปกลายเป็นสายพันธุ์หลัก เบียดสายพันธุ์เก่าให้ตกไปในห้วงเหวของประวัติศาสตร์

คุณสมบัติของสายพันธุ์ที่จะแพร่ได้ดีในขณะนี้น่าจะมีสองอย่าง คือ สายพันธุ์ที่แพร่ได้ดี อย่างที่เราเจออยู่ในวันนี้ กับสายพันธุ์ที่วัคซีนเอาไม่อยู่ที่เราอาจจะเจอในวันข้างหน้า เร็วช้าอีกเรื่องนึง แต่น่าจะเจอแน่

แล้วสายพันธุ์โหด ๆ ที่ทำให้คนตายง่ายล่ะจะช่วยขยายพันธุ์ได้ดีไหม คำตอบ คือ อาจจะดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้

อาการของมนุษย์บางอย่างช่วยให้เชื้อโรคขยายพันธุ์ได้ดี เช่น อาการไข้ช่วงที่เชื้อมาลาเรียทำให้เม็ดเลือดแตก ทำให้ผิวหนังอุณหภูมิสูงขึ้น ร่างกายสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งสัญญาณให้ยุงบินมาหาเป้าดูดเลือดรับเชื้อไปแพร่ต่อให้คนอื่นต่อได้ง่ายขึ้น เชื้ออหิวาตกโรคทำให้ท้องร่วง จำนวนเชื้อจะได้ออกมาอย่างเทน้ำเทท่า ส่งถ่ายอหิวาต์ไปในสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น เชื้ออีโบล่าก็มีอาการรุนแรงทำให้คนตายโดยเลือดและสิ่งคัดหลั่งออกหลาย ๆ ทวาร ชาวป่าที่มีวัฒนธรรมสัมผัสศพกันทุกคนก่อนส่งวิญญาณจึงรับเชื้อไปได้มาก ส่วนเชื้อโรคทางเดินหายใจทำให้จามไอหอบ พ่นละอองเชื้อออกไปได้ทีละมาก ๆ ก่อนตาย คุณสมบัติของเชื้อที่มีอาการรุนแรงมากเป็นคุณสมบัติเดียวกันที่ช่วยในการแพร่โรค อย่างนี้เชื้อสายพันธุ์โหดก็จะแพร่ได้ดี

แต่ปัจจุบันมนุษย์ทั่วไปในเมืองไม่ค่อยใกล้ชิดคนป่วยหนัก มีแต่หมอพยาบาลที่คอยดูแล ซึ่งหมอและพยาบาลก็ป้องกันตัวเองค่อนข้างดีแล้ว ดังนั้นเชื้อโหด ๆ ทั้งหลายที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง ไม่น่าจะได้เปรียบในการแพร่สายพันธุ์ ในทางตรงข้าม เชื้อที่มีคุณสมบัติเกาะติดกับมนุษย์ที่มีนิสัยหรือการงานที่ต้องไปสัมผัสใกล้ชิดกับคนอื่นมาก ๆ โดยไม่ทำให้เกิดอาการชัดเจน จะเล็ดลอดระบบคัดกรองแพร่พันธุ์ได้ดีกว่า เราจึงเห็นระลอกสามมากับนักท่องเที่ยวเดินทางซึ่งอาการไม่รุนแรง

ส่วนคนที่ป่วยหนักและเสียชีวิตนั้นไม่ใช่ผลงานโดยตรงของเชื้อ ส่วนใหญ่ระบบต่าง ๆ สั่งการผิดพลาด เชื้อไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบและไม่ได้ผลประโยชน์จากส่วนนั้น ถ้าทฤษฎีที่ผมโมเมมานี้จริง อัตราป่วยตายในอนาคตจะไม่สูงขึ้นมากนัก คือ ช่วงนี้ตายประมาณ 1-2 คนในทุก 100 คนที่ป่วย ต่อไปก็คงจะอยู่ประมาณนี้ ที่จะป่วยหนักตายมากก็เพราะพื้นฐานร่างกายไม่ดีอยู่แล้ว เช่น อายุมาก มีโรคประจำตัว และอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้อัตราป่วยตายสูงที่สำคัญ คือ ระบบรักษาพยาบาลอ่อนล้าหมดแรงลงดังที่เคยคุยไว้แล้ว

โอกาสที่มนุษย์จะโชคดีจากการกลายพันธุ์ของโควิดก็ยังพอมีอยู่บ้างแต่ไม่มาก กล่าว คือ รหัสพันธุกรรมของเชื้อที่จะทำให้มนุษย์ป่วยหนักหรือตาย นอกจากไม่เกิดประโยชน์ต่อการขยายพันธุ์แล้วอาจจะกลายเป็นภาระที่เชื้อจะต้องเก็บและส่งต่อให้รุ่นต่อไป อาจจะมีการกลายพันธุ์แล้วสลัดพันธุกรรมส่วนนั้นทิ้ง ในที่สุดโควิดก็เหลือแต่สายพันธุ์ทีเชื่องหน่อย แล้วก็กลายพันธุ์ต่อจนสูญพันธุ์ไปเหมือนไวรัสรุ่นพี่อย่างไข้หวัดใหญ่สเปน และ โรคซาร์ส แต่โอกาสนั้นจะมาถึงเมื่อไรยังไม่รู้เหมือนกัน

สรุปแล้ว โควิดรอบนี้และรอบต่อ ๆ ไป คงจะระบาดต่อ อัตราป่วยตายตามธรรมชาติจะขึ้นกับว่าเราควบคุมการระบาดต้นทางได้ดีแค่ไหน วัคซีนก็คงช่วยเราปะทะกับเชื้อสายพันธุ์ปัจจุบันไปได้อีกสักพัก พอได้หายใจหายคอนิดหน่อย เพื่อเตรียมศึกโควิดที่ดื้อวัคซีนต่อไปในปีหน้าหรือปีถัดไป