ไฟใต้ ล้ำเส้นมนุษยธรรม แรงพอๆ กับโควิด/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

[email protected]

 

ไฟใต้

ล้ำเส้นมนุษยธรรม

แรงพอๆ กับโควิด

 

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัดและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

วันที่ 24 เมษายน 2564 จากเหตุการณ์คนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิงใส่รถยนต์ ทำให้รถยนต์เสียหลักตกลงร่องน้ำระหว่างถนน และเกิดเพลิงไหม้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย คือนายสุพร กิตติประภานันท์ อายุ 58 ปี (เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ) น.ส.จิราพร กิตติประภานันท์ อายุ 26 ปี (เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ) และนายสัณห์พิพัฒ กิตติประภานันท์ อายุ 26 ปี ทั้ง 3 คนอยู่บ้านเลขที่ 5 ถ.คลองยาเหนือ 11 ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา (เสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล)

เหตุเกิดในพื้นที่ ม.5 ต.ละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี

สำหรับการก่อเหตุที่เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ล้ำเส้นมนุษยธรรมซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะช่วงนี้เกิดสถานการณ์ Covid-19 จังหวัดชายแดนภาคใต้นับวันสถิติผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและอยู่เดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ของพี่น้องมุสลิม ในพื้นที่ที่แต่ละหลัง คนแต่ละชุมชน เร่งปฏิบัติศาสนกิจ

แม้ไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้เต็มที่ในมัสยิดอันเนื่องมาจากต้องปฏิบัติตามมาตรการของสำนักจุฬาราชมนตรีร่วมกับคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด

ปฏิกิริยาในพื้นที่

 

แน่นอนที่สุดเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ ทุกภาคส่วนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ผิดทั้งหลักศาสนาอิสลามและกฎหมายสากล ล้ำเส้น “มนุษยธรรม”

นายรักชาติ สุวรรณ์ ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ เปิดเผยว่า เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ได้ออกแถลงการณ์สองข้อ

1. ขอให้เร่งติดตามกลุ่มผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม และให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือ เยียวยาแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตโดยเร็วและทั่วถึง

2. ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนใต้ และองค์กรอิสระลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมปลอบขวัญ ให้กำลังใจ พร้อมตรวจสอบและทำรายงานการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่มผู้ไม่หวังดี

เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติชายแดนใต้ ขอเป็นกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขอเป็นกำลังใจให้แก่ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ที่กำลังถือศีลอด ในช่วงเดือนรอมฎอน ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับการฟื้นฟูขวัญกำลังใจ และสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ในเร็ววัน

สมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ นอกจากแสดงความเสียใจ ไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์แล้วยังได้เรียกร้องสามข้อดังนี้

1. ขอให้ยุติการใช้ความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ในทุกรูปแบบ ทุกคน ทุกเพศ ทุกศาสนา ทุกความหลากหลายและความเชื่อ

2. รัฐและทุกภาคส่วนต้องร่วมมือดำเนินการให้พื้นที่ชายแดนใต้ เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยต่อทั้งคนในพื้นที่และนอกพื้นที่ ซึ่งจะกระทบต่อหลายปัจจัย

3. ขอให้เจ้าหน้าที่นำผู้กระทำผิดมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้โดยเร็ว เพื่อความเป็นธรรมต่อผู้ที่ได้รับความผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

ในขณะที่เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 เวลา 14.00 น. คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ณ วัดพระบาท ตำบลบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

น.ส.คอดีเยาะ หะหลี หนึ่งในคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า

“เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความสูญเสียและสะเทือนใจต่อครอบครัวเป็นอย่างมาก ในการลงพื้นเยี่ยมครั้งนี้คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิฯ ได้ให้กำลังใจแก่ภรรยาและลูกสาว และได้มอบเงินช่วยเหลือเพื่อขวัญและกำลังใจแก่ครอบครัว”

ส่วน น.ส.อัญชนา หีมมีหน๊ะ จากกลุ่มด้วยใจ ซึ่งทำงานด้านสิทธิมนุษยชน (ภาคประชาชน) ตลอดไฟใต้ 17 ปี ประณามเหตุการณ์นี้ พร้อมสะท้อนว่า “ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุการณ์นี้มีผู้หญิงถูกเผาด้วย ขอเรียกร้องให้องค์กรผู้หญิงทุกกลุ่มออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ และเรียกร้องให้องค์กรผู้หญิงเรียกร้องต่อการคุกคามผู้หญิงด้วยเช่นกัน เหตุการณ์นี้พวกเขาไม่มีอาวุธ เป็นผู้บริสุทธ์ เป็นผู้หญิงกลุ่มเปราะบาง ขอให้ยุติและทบทวนการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม โดยเฉพาะในเดือนรอมฎอนไม่ว่าเขาจะศาสนาไหนก็ต้องได้รับการปกป้อง”

“ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทบทวนและแสวงหาแนวทางสันติในการแก้ไขความรุนแรงที่เกิดขึ้น”

BRN ปฏิเสธทันควัน

 

แน่นอนที่สุดหลายภาคส่วนโดยเฉพาะรัฐย่อมมองไปที่คู่ขัดแย้งความรุนแรงตลอด 17 ปีไฟใต้ของรัฐทันที นั่นคือ BRN

อย่างไรก็แล้วแต่ นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่กี่ครั้งที่ BRN ปฏิเสธ เพราะอ้างข้อตกลงสันติภาพ/สันติสุขกับรัฐไทยผ่านเฟซบุ๊กเพจ BRN Barisan Revolusi National โดยกล่าวว่า

“เนื่องด้วยได้มีการก่อเหตุสกัดรถของครอบครัวสามแม่-ลูกในพื้นที่บ้านละหาร อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี และได้มีการสังหารและเผาร่างอย่างโหดเหี้ยม กองกำลัง BRN ขอปฏิเสธการปฏิบัติการดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง

เนื่องจากทาง BRN เพิ่งผ่านการสูญเสียทหารในการปฏิบัติการที่ผ่านมาและอยู่ในช่วงไว้อาลัยให้ครบ 7 วัน ซึ่งมีคำสั่งให้หน่วยกำลังในทุกพื้นที่หยุดปฏิบัติการในห้วงเวลาดังกล่าว

จากการสืบสวนและสอบสวนหน่วยจรยุทธ์ในพื้นที่ดังกล่าว ห้วงเวลานี้ได้มีการย้ายกำลังพลในพื้นที่รับผิดชอบออกจากพื้นที่ทั้งหมด เนื่องจากการกดดันจากกองกำลังสยามที่เข้ามาปฏิบัติการกดดันประชาชน

และทราบว่าในเวลาดังกล่าวประชาชนพบเห็นหน่วยจรยุทธ์ของฝ่ายสยามในบริเวณที่เกิดเหตุก่อนเวลาเกิดเหตุประมาณ 2 ชั่วโมง

การปฏิบัติการของสยามดังกล่าวเพื่อสร้างข้อมูลเท็จต่อ BRN ว่าเป็นผู้ลงมือ เนื่องด้วยมูลเหตุและแรงจูงใจจากการเสียชีวิตของกำลังในวันที่ 22 ที่ผ่าน

BRN ยังคงให้ความสำคัญและยึดมั่นในการเจรจาสันติภาพเป็นลำดับแรก”

สอดคล้องกับคำแถลงข่าวก่อนหน้านี้ว่า BRN จะโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางความมั่นคง จะไม่โจมตีเป้าหมายอ่อน และโต้รัฐพยายามตั้งที่มั่นทางทหารติดกับเป้าหมายอ่อนแล้วโยนความผิดให้ BRN

“เมื่อเราทำการโจมตี แน่นอนผู้ตั้งรับหรือศัตรูต้องทำการสวนออกมา ซึ่งเป็นปกติเมื่อการเข้าบุกโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า การตั้งรับของทหารสยามจึงเป็นการตั้งรับแบบไร้สติ การยิงสวนออกมาจึงสะเปะสะปะ จึงทำให้กระสุนที่ผ่านลำกล้องออกมาไปยังเป้าหมายตามผู้ที่กำหนด คือทหารสยาม และนั่นคือสถานีอนามัย หรือ รพ.สต. การอนุญาตให้กองกำลังทหารสยามเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการภายในหรือใกล้กับสถานที่เหล่านั้น ก็ไม่สมควรเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกโจมตีตามยุทธศาสตร์การรบ ซึ่งแน่นอนทางกองกำลังสยามต้องการอยู่ใกล้เป้าหมายเหล่านี้อยู่แล้วเพื่อป้องกันตัวเองในระดับหนึ่ง”

โดยให้เหตุผลว่า เพื่อป้องกันการเข้าทำร้ายสถานที่และเจ้าหน้าที่

ความปราถนาดี ขอให้ผู้บริหารของสถานที่ราชการแนะนำและชี้แนะไปยังกองกำลังสยาม เห็นควรย้ายฐานปฏิบัติการให้ห่างจากสถานที่สาธารณะ

กระบวนยุติธรรมตามมาตรฐานสากลคือทางออก

 

ขณะที่เพจศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า ทางการยังคงเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังเหตุร้าย และขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันเฝ้าระวัง พร้อมทั้งระบุว่า แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้หน่วยเฉพาะกิจปัตตานีร่วมมือกับอีกหลายหน่วยงานเพื่อติดตามผู้ก่อเหตุไปดำเนินคดีโดยเร็ว

อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ฝากการปฏิบัติการทางทหารให้ยึดหลักกฎหมาย และที่สำคัญกฎหมายสากลว่าโดยกฎการปะทะ ในขณะที่ขอให้เร่งติดตามกลุ่มผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส เป็นธรรมและตรวจสอบได้แม้รัฐจะมีกฎหมายพิเศษในมือสามฉบับ

มิฉะนั้นจะยิ่งสุมไฟกองใหม่ อย่างหลายๆ กรณีตลอดไฟใต้ 17 ปี