ช่อ พรรณิการ์ มองอนาคตการเมือง หากยังไม่ทำอะไร อาจได้อยู่กับประยุทธ์ 13 ปีเต็ม!/ รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

 

ช่อ พรรณิการ์ มองอนาคตการเมือง

หากยังไม่ทำอะไร

อาจได้อยู่กับประยุทธ์ 13 ปีเต็ม!

 

ช่อ-พรรณิการ์ วานิช คณะก้าวหน้า มองเรื่องรัฐธรรมนูญที่ลุ่มๆ ดอนๆ ดูแล้วไม่มีความหวัง ในวันนี้ว่า นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญนี้ถูกสถาปนาขึ้น เราก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่ได้จะแก้ง่ายๆ แน่นอน เหมือนถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้อยู่ถาวรตลอดไป จนกว่าจะมีรัฐประหารครั้งต่อไป

กระบวนการที่ถูกล้มไปในสภา พูดตรงๆ ว่า ถ้ากลับไปดูในรายละเอียด หากกระบวนการยังเดินหน้าต่อไปอาจจะน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า เพราะการแก้ไขถูกล็อกไว้หมดแล้ว โดย ส.ส.ซีกรัฐบาลและ ส.ว. ว่าไม่ให้แก้อะไร

ตอนนี้ก็ต้องหาช่องทางอื่นๆ ที่สามารถทำได้ เช่น รณรงค์แก้ไขรายมาตรา โดยให้ประชาชนลงชื่อ หมายความว่า จะไม่มีทางที่ถูกล็อกจากคนกลุ่มไหน ประชาชนร่วมกันส่งเสียงได้ ถือว่าเป็นการปิดเส้นทางหนึ่ง เพื่อไปสู่เส้นทางใหม่ ที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมได้มากกว่าเดิม แม้ว่าเราจะเสียเวลากันมานาน แต่ก็ต้องบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่น

การจะได้รัฐธรรมนูญที่เร็วมีวิธีเดียวก็คือ “การรัฐประหาร” ซึ่งทุกคนก็รู้ดีว่าถ้าเป็นอย่างนั้นไม่มีทางที่จะได้รัฐธรรมนูญที่ดีกว่านี้ มีแต่จะแย่กว่าเดิม

วิถีทางที่ประชาชนจะได้มาซึ่งอำนาจสูงสุดของประเทศอีกครั้งหนึ่งตามที่มันควรจะเป็น ไม่มีเร็ว ไม่มีทางลัด มีแต่ต้องทำต่อไปแบบนี้

แล้วถ้าเราคิดว่าไม่ไหว ไม่อยากทำ พอแล้ว ขี้เกียจทำ อันนี้คือล้มเหลวของจริง

ตราบใดที่เรายังไม่ยอมแพ้ เขาก็ไม่ชนะ

ตราบใดที่ประชาชนไม่หยุดส่งเสียง ก็จะสร้างแรงกดดันได้เสมอ

 

‘ช่อ’ บอกอีกว่า ที่ผ่านมา คนบางกลุ่มมองว่ามีม็อบก็แล้ว อะไรก็แล้ว แต่รัฐบาลไม่สะเทือนเลย ขอบอกว่าไม่จริง

เราเห็นความพยายามการปรับตัวรับมือกับแรงกดดันจากประชาชนพอสมควร

อย่างการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาถึงจุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแรงกดดันจากประชาชน เพียงแต่ว่ารัฐบาลไม่ยอมเสียรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไป มันเป็นเหมือนแหวนแห่งอำนาจ เป็นจุดศูนย์กลางอำนาจของเขา

ที่ผ่านมาอย่างน้อยก็ผลักดันให้รัฐบาลต้องตั้งรับอยู่พอสมควร หน้าที่ของประชาชนคือเราต้องทำเสียงเราให้ดังอย่างต่อเนื่องให้ได้ และอย่าคิดว่าเสียงนั้นไม่มีความหมาย ปี 2563 ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่ามีการปรับตัวรับกระบวนท่าของประชาชนอยู่มาก

ดังนั้น คำว่า “แผ่ว” อย่าไปมองเป็นเชิงลบ เพราะการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่พอใจ กับรัฐบาลที่มีความต้านทานต่อแรงกดดันประชาชนสูงขนาดนี้ ก็ต้องใช้พลังเยอะ จึงมีจังหวะช่วงที่ความไม่พอใจ-ความโกรธแค้นพุ่งสูง และลดลง แล้วแต่สถานการณ์ เป็นธรรมชาติของการเคลื่อนไหว

วันนี้เราลองมองไปที่พม่า กับท่าทีที่รัฐบาลเราแสดงออกหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ส่งตัวแทนร่วมงานวันกองทัพ ต้อนรับรัฐมนตรีของเขาเป็นไม่กี่ชาติในโลก ต้องบอกว่าเดิมพันกรณีพม่าก็คือเรื่องส่วนตัวของพวกเขา

ถ้ารัฐบาลทหารพม่ารัฐประหารไม่สำเร็จ ต่อไปหากรัฐบาลไทยจะทำรัฐประหารบ้างก็น่ากังวล ว่าจะสำเร็จหรือไม่

แล้วของแบบนี้มันเกิดแรงบันดาลใจต่อกันในระหว่างประเทศ เหมือนตอนอาหรับสปริง ก็เกิดจากประเทศเล็กๆ ประเทศเดียว แล้วเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่นๆ

อย่างการประท้วงฮ่องกงก็เป็นแรงบันดาลใจให้การประท้วงในประเทศไทย และประเทศไทยกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับพม่า ทั้งการชูสามนิ้วและเคลื่อนไหวต่างๆ ถ้าที่หนึ่งสามารถลุกขึ้นมาประท้วงได้ขณะสำเร็จ แล้วรั้วบ้านของคุณอยู่ติดกัน คุณก็จะเดือดร้อน

นี่คือเดิมพันของเขา

ลำพังตอนนี้ในพม่ายังไม่สำเร็จ แต่ก็ทำให้คนไทยพูดกันมากแล้วว่า มันมีโมเดลการเคลื่อนไหวหลายรูปแบบ ทั้งโมเดลการหยุดงานประท้วง โมเดลการประท้วงเงียบ เห็นรูปแบบการประท้วงในหลายรูปแบบ มันเกิดคำถามขึ้นว่าในประเทศเราจะทำอะไรได้บ้าง

ก็ต้องใช้คำว่ามันสร้างแรงบันดาลใจให้เห็นว่าประชาชนมือเปล่าก็สู้ได้

 

มองที่ความขัดแย้งแตกแยกในหมู่ประชาชน ‘ช่อ พรรณิการ์’ บอกว่า ย้อนไปช่วงรัฐประหาร 2549 เราก็เห็นความแตกแยกของประชาชนส่วนหนึ่ง

พอมาปี 2557 ก็เห็นถึงความแตกแยกในหมู่ประชาชน

แต่ว่าพอผ่านมา 7 ปี ที่เราอยู่ภายใต้นายกฯ คนเดียวที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้มองว่าเกิดฉันทามติร่วมกัน ในระดับที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในหลายๆ เรื่อง เช่น สถาบันหลักต่างๆ ของประเทศ วันนี้ถูกตั้งคำถามหมด ทั้งศาล กระบวนการยุติธรรม-ตำรวจ มากที่สุดก็คือตัว พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งไม่ได้เป็นคำถามแล้ว เรียกว่าเป็นคำตอบในตัวเอง คือ “คุณบริหารประเทศไม่ได้”

เดินไปตามท้องถนนทุกวันนี้ คนจำนวนมากกว่าครึ่งเท่าที่สัมผัสได้ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์คือคำตอบว่าบริหารประเทศไม่ได้

สิ่งนี้มันชัดเจนมาก

ก่อนที่จะมองว่ามีทฤษฎีแบ่งแยกแล้วปกครอง ที่มันเป็นความพยายามของฝ่ายรัฐที่จะสร้างความแตกแยกโดยการใช้เกมเก่าๆ ระหว่างประชาชนด้วยกันให้ตีกันเพื่อที่เขาจะได้เสวยสุขอยู่บนอำนาจ โดยที่เขาอ้างว่าจะเข้ามาเพื่อรักษาความสงบ

ขอโทษค่ะมุขนี้มันเก่าเกินไปแล้ว

ตอนนี้ประชาชนไม่ตีกันแล้ว จะอดตายกันอยู่แล้ว

ภายใต้การบริหารประเทศที่ห่วย ต่อให้คุณพยายามสร้างความรู้สึกว่าประเทศมันแตกแยก ใช้วาทกรรมล้มเจ้า-ชังชาติ สำหรับคนที่เชื่อคำเหล่านี้ ซึ่งส่วนตัวมองว่ามีไม่เยอะ แต่เขาอาจจะเสียงดัง เพราะว่ามีความพยายามสนับสนุนของรัฐที่จะให้เสียงเหล่านี้ดังอยู่เสมอ

เราเป็นคนที่เดินทางหาเสียงตลอด ตั้งแต่วาระเลือกตั้งซ่อมแล้วก็มาจนถึงเลือกตั้ง อบจ.และเลือกตั้งเทศบาล เราเดินตามถนนตามตลาด ตอนนี้สังคมมีฉันทามติร่วมกันในระดับสูงว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่โอเค และรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ไม่โอเค

 

แต่ถ้าถามว่า รัฐบาลนี้มีโอกาสอยู่ครบเทอม 4 ปีไหม ‘ช่อ’ บอกว่า ก็คิดว่าเขาเป็น “รัฐบาลเทฟลอน” พอสมควร คือลื่นไหลทนทุกสถานการณ์ โดยปกติเหตุผลที่ทำให้เกิดการยุบสภามาจากแรงกดดันจากในพรรคร่วมรัฐบาล วันนี้เราเห็นรอยร้าวในพรรคพลังประชารัฐ ในพรรคร่วมรัฐบาลก็ตีกันอยู่บ้าง ยังไม่ถึงขั้นว่าที่เขาจะยุบสภา ต่อให้มีการยุบแล้วเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่ แน่นอนว่าจะได้หน้าตาแบบเดิม มันเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า

จึงคิดว่ารัฐบาลคงจะต้องใช้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ได้มากที่สุด ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะอยู่ให้ครบเทอม

ถ้าหากดูตามหลักการการเมืองทั่วไป รัฐบาลที่มีพรรคผสมเยอะขนาดนี้ แถมมีพรรคการเมืองระดับ 50 เสียงอยู่ 2 พรรค แบบนี้มีแรงพลังต่อรองสูงมาก

ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เราจะเห็นความพยายามในการกดดันมากกว่านี้ แต่สถานการณ์แบบนี้มันไม่ปกติ พูดกันอย่างตรงไปตรงมานี่เขาอยู่กันแบบ “ระบบมาเฟีย” เป็นระบบที่ไม่ได้ว่ากันตามหลักปกติทั่วไป

แล้วคุณอย่าลืมว่า มีพรรคการเมืองที่ใหญ่มากชื่อพรรค ส.ว. ที่เป็นหลักประกันในชีวิตของรัฐบาลจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรสำคัญก็จะตีความให้ตัวเองเข้ามาร่วมมีบทบาทโหวตด้วยอยู่เสมอ

คือ ส.ว.เป็นส่วนประคับประคองสำคัญ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพรรคร่วมรัฐบาลที่ควรจะต้องมีอัตราต่อรองมากกว่านี้ กดดันได้มากกว่านี้ ทำได้แค่ดิ้นเล็กน้อยเพื่อเรียกค่าตัวเฉยๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะขัดขืนรัฐบาลเพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็คือรัฐบาลเผด็จการซ่อนรูป สืบทอดอำนาจ

ถ้าเป็นปกติในสถานการณ์แบบนี้อยู่ได้ถึง 2 ปีนี้ถือว่าเก่งมากแล้วเพราะพรรคร่วมจะมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลสูง

แต่วันนี้เราก็เห็นการงอแงแบบประปราย เพราะนี่ไม่ใช่รัฐบาลระบอบประชาธิปไตย

 

‘ช่อ พรรณิการ์’ บอกว่า ถึงวันนี้ไม่น่าเชื่อว่าเราอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์มา 7 ปีแล้ว เป็นตัวเลขที่น่ากลัว

ตอนที่รัฐประหารมาเราไม่สามารถจินตนาการว่าเราจะอยู่กับเขาได้นานขนาดนี้

หากวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะอยู่ไปอีก 2 ปีครบเทอม เท่ากับว่า 7 + 2 = 9 แล้วถ้ารัฐธรรมนูญยังไม่ถูกแก้ไข ยังคงเป็นแบบนี้หรือแก้ไขแบบเล็กน้อยไม่ได้ไปเปลี่ยนกลไกสืบทอดอำนาจเราก็จะได้อยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ไปอีก 4 ปี บวกกับ 9 ก็เป็น 13 ปี เป็น lucky number พอดี

ก็หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น

สิ่งที่จะทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา มีอยู่ทางเดียวคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ท้าทายพวกเราแล้วว่าไปแก้ให้ได้แล้วกัน

ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วที่จะต้องทำตามคำท้า เพราะอยู่แบบนี้ก็ไม่ไหว มันมีทางออกทางเดียวคือประชาชนต้องร่วมมือกันแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จ

ถ้าแก้ไม่สำเร็จก็ขอแสดงความยินดีกับทุกคนล่วงหน้าไว้เลย ว่า 13 ปีภายใต้ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาแน่นอน!

ชมคลิป