E-DUANG : กรรมลิขิต ใน พลังประชารัฐ เมื่อ”สมบัติ” ผลัดกัน ชื่นชม

ไม่ว่าจะเป็นการหลุดคำว่า ไอ้”อหิวาต์”ออกมา ไม่ว่าจะเป็นข่าวที่ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ

มิได้เป็นเรื่องในแบบ”พรหมลิขิต” มิได้เป็นเรื่องของ”ดวงดาว”กำหนด

ตรงกันข้าม มีความเด่นชัดยิ่งว่าเป็นเรื่องในแบบ”เราลิขิต”

เพราะว่าคำว่าไอ้”อหิวาต์”มิได้เป็นการบีบบังคับหรือวางแผนโดยใคร หากแต่สะท้อนถึงปะทุแห่งอารมณ์ อันเป็นเหมือนกับวาสนาซึ่งตะกอนนอนก้นอยู่ในใจ

และกรณีที่พรรคพลังประชารัฐจะต้องมีการเปลี่ยนตัวกรรมการ บริหาร รุนแรงจนถึงขั้นมีการเปลี่ยนเลขาธิการพรรคจากคนเก่ามาเป็นคนใหม่ก็ล้วนเป็นการกำหนดกันขึ้นเองจาก”ภายใน”

ความหงุดหงิดที่ถึงกับหลุดคำไอ้”อหิวาต์”ออกมานั้นก็เนื่องมาจากรู้สึกว่าทำไมมันถึง”เร็ว”ขนาดนี้ ไม่รอกันต่อไปอีกหรือ

ความหมายที่แท้ของผรุสวาทเช่นนี้เพราะรู้สึกว่าบางอย่างกำลังอยู่เหนือการควบคุม บางอย่างกำลังเป็นไปอย่างเหนือการคาด หมายทางการเมือง

 

แท้จริงแล้ว ธรรมชาติของพรรคการเมืองในแบบพรรคพลังประชารัฐก็จะต้องดำเนินไปอย่างที่เห็นและเป็นอยู่

เพียงไม่ถึง 1 ปีก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง

นั่นก็คือ เปลี่ยนหัวหน้าพรรคจาก นายอุตตม สาวนายน มาเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

เมื่อเปลี่ยนราบๆเรียบๆไม่ได้ก็ต้องกดดัน บังคับ รุกไล่

เมื่อเปลี่ยนหัวหน้าพรรคแล้วก็ต้องเปลี่ยนเลขาธิการพรรค จากที่เคยเป็นของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ มาเป็น นายอนุชา นาคาศัย อย่างที่เห็นกันอยู่

และอีก 1 ปีต่อมา เมื่อมีการประชุมใหญ่พรรคในเดือนเมษายน ก็มีข่าวว่าอาจจะต้องเปลี่ยนตัว”เลขาธิการพรรค”

ที่เป็นเลขาธิการพรรคเพราะคนอย่าง นายอนุชา นาคาศัย เปลี่ยนง่ายกว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค

 

นี่เป็นเรื่องที่ นายอนุชา นาคาศัย จะต้องเข้าใจ  เพราะเส้นทางของ นายอนุชา นาคาศัย ที่ได้เป็นเลขาธิการพรรคก็เพราะเบียดขับ นาย สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อออกไป มิใช่หรือ

นี่เป็นเรื่องของกงกรรมกงเกวียน เป็นวิถีแห่ง”เราลิขิต”มิได้เนื่อง แต่”พรหมลิขิต”ในทางการเมือง แต่ประการใด

การมาของ นายอนุชา นาคาศัย การไปของ นายอนุชา นาคาศัย จึงเป็นเรื่องที่ นายอนุชา นาคาศัย เป็นผู้กำหนดเอง