ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 มีนาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
หลักฐานประจักษ์
กองทัพเมียนมาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ!
เลือดกำลังนองท่วมแผ่นดินเมียนมา
หลังจากกองทัพภายใต้การบัญชาการของพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา ก่อการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) และได้ยัดเยียดข้อกล่าวหาร้ายแรงต่างๆ นานาให้
ที่มีตั้งแต่โกงเลือกตั้ง ทุจริตรับสินบน ครอบครองอุปกรณ์สื่อสารโดยผิดกฎหมาย ไปจนถึงกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติที่เกี่ยวกับโรคระบาด เพื่อหวังจะสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง ไปพร้อมๆ กับการได้ขจัดเสี้ยนหนามขวางทางการยึดกุมอำนาจเด็ดขาดไว้ในมือของตน
นับจาก 1 กุมภาพันธ์ 2564 วันที่ชาวเมียนมาตกอยู่ในความมืดมนจากการถูกพรากประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพไป กองกำลังฝ่ายความมั่นคงของเมียนมาทั้งตำรวจ ทหารได้ใช้กำลังรุนแรงเข้าปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ลุกฮือต่อต้านขึ้นทั่วประเทศอย่างโหดเหี้ยม โดยกระทำอย่างตามอำเภอใจ ไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก ด้วยอาวุธครบมือที่มีทั้งแก๊สน้ำตา ท่อฉีดน้ำแรงดัน ระเบิดแสง กระสุนยาง พานท้ายปืน
ไปจนถึงการยิงด้วยกระสุนปืนจริง!
ตัวเลขการสูญเสียประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ล้มตายด้วยน้ำมือทหารและตำรวจเมียนมานับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ จากการวบรวมข้อมูลโดยหลายฝ่าย รวมถึงสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (เอเอพีพี) ประเมินว่ามีผู้ประท้วงถูกเจ้าหน้าที่รัฐเข่นฆ่าสังหารไปแล้วไม่ต่ำกว่า 200 ราย
เฉพาะในวันที่ 14 มีนาคม เพียงวันเดียว มีผู้ชุมนุมประท้วงถูกตำรวจ ทหารยิงสังหารเสียชีวิตไปอย่างน้อยกว่า 70 ราย นับเป็นวันแห่งความสูญเสียมากที่สุดชองชาวเมียนมาในขณะนี้
เมียะ ทเว ทเว ข่าย สาวน้อยที่กำลังจะมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ในอีกเพียงไม่กี่วัน กลับกลายเป็นศพแรกที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับปากกระบอกปืนที่ลั่นกระสุนยิงเจาะเข้ากะโหลกศีรษะของเธอ ในระหว่างที่เธอออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐประหารร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ในกรุงเนปิดอว์เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลงในอีก 10 วันต่อมา หลังจากแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตเธอไว้ได้
มะ แจ ซิน สาวน้อยวัยเพียง 19 ปี ที่หลายคนเรียกเธอว่า แองเจิล หรือนางฟ้า กลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของพลังบริสุทธิ์ที่ร่วมต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารอย่างไม่เกรงกลัว
มะ แจ ซิน ถูกยิงเข้าที่ศีรษะเสียชีวิตขณะร่วมเคลื่อนไหวต้านรัฐประหารในเมืองมัณฑะเลย์เมื่อ 3 มีนาคม
ภาพของมะ แจ ซิน ที่สวมเสื้อยืดสีดำสกรีนข้อความว่า “ทุกอย่างจะโอเค” ในวันนั้น ประหนึ่งแสดงถึงความหวังที่จะทวงคืนอำนาจประชาธิปไตยกลับสู่มือพี่น้องชาวเมียนมาได้ ยังเป็นภาพติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้คน
ยังมีคลิปวิดีโอเหตุการณ์จำนวนมากที่เป็นไวรัลอยู่ในโลกโซเชียล ตีแผ่ให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของตำรวจ ทหารเมียนมาที่ใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ปรานี
หนึ่งในคลิปเหตุการณ์นั้นเผยให้เห็นตำรวจใช้พานท้ายปืนกระหน่ำตีเข้าไปที่หัวของอาสาสมัครแพทย์ 3 คน ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างจำนน ก่อนที่ร่างหนึ่งจะทรุดล้มลงไปกองกับพื้น
รายงานข่าวและภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ในสื่อท้องถิ่นเมียนมาและสื่อนอกหลายสำนักที่ยังสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและพยานผู้เห็นเหตุการณ์ในพื้นที่ได้ ตีแผ่ให้เห็นภาพความโหดร้ายอันสอดคล้องกันของการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงของตำรวจและทหารเมียนมาซึ่งกระทำอย่างกว้างขวาง ตามอำเภอใจ และไม่เลือกหน้า ถ้อยคำที่มักเห็นผ่านตาที่ปรากฏในรายงานข่าวสื่อเหล่านี้ ย้ำซ้ำๆ ให้ภาพเห็นชัดคือ เหยื่อผู้ประท้วงที่เสียชีวิตหลายราย มักถูกยิงเด็ดหัว!
รายงานของผู้สื่อข่าวรอยเตอร์สเมื่อสัปดาห์ก่อนอ้างถึงคำให้การของตำรวจเมียนมาส่วนหนึ่งที่ให้การกับทางการอินเดียหลังหลบหนีข้ามแดนเข้ามา อ้างว่ามี “คำสั่งยิงผู้ประท้วง” ที่พวกเขาได้รับจากผู้บังคับบัญชา แต่พวกเขายอมขัดคำสั่งนี้ เพราะไม่สามารถเข่นฆ่าพี่น้องประชาชนได้ นั่นทำให้พวกเขาตัดสินใจลาออกจากหน้าที่และหลบหนีออกมาเนื่องจากหวั่นเกรงเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรเคลื่อนไหวด้านสิทธิที่จับตาสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด ยังอ้างถึงคลิปวิดีโอเหตุการณ์มากกว่า 50 คลิปที่อ้างว่าผ่านการตรวจสอบแล้วชี้ว่ากองทัพเมียนมาได้ใช้อาวุธที่ใช้ในสนามรบมาใช้ในการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง เช่น ปืนกล และปืนไรเฟิล
โดยอาวุธเหล่านั้นยังอยู่ในมือของหน่วยทหารที่เคยใช้กำลังรุนแรงปราบปรามชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในเมียนมา ซึ่งรวมถึงชาวโรฮิงญาด้วย
ขณะที่ในการนำเสนอรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (โอเอชซีเอชอาร์) นายโธมัส แอนดรูวส์ ผู้จัดทำรายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา ประเมินว่า เมียนมากำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของระบอบการปกครองที่มิชอบด้วยกฎหมายและเป็นผู้ลงมือกระทำ “ฆาตกรรม” ประชาชนของตนเอง โดยมีหลักฐานชัดเจนจากคลิปวิดีโอและภาพถ่ายที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง
ซึ่งหลายกรณียังเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ตั้งแต่การกระทำฆาตกรรม การใช้กำลังบังคับให้หายสาบสูญ การก่อกวนข่มเหงรังแกและการทำทารุณกรรม
ข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งเหล่านี้ที่มาจากหลายทางหลายฝ่าย เป็นหลักฐานชัดแจ้งที่จะเป็นข้อพิสูจน์ยืนยันได้ว่ากองทัพเมียนมากำลังกระทำการอันเข้าข่ายการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ที่ประชาคมโลกจะนิ่งนอนใจ ไม่เร่งลงมือตอบโต้จัดการใดๆ ต่อผู้อยู่เบื้องหลังการทำให้เลือดนองแผ่นดินเมียนมาไม่ได้
เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเราอาจจะได้เห็นชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ในเมียนมาถูกสังหารดั่งใบไม้ร่วงไปมากกว่านี้อีก!