จ๋าจ๊ะ วรรณคดี / ญาดา อารัมภีร / หวยสักวา (2)

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี/ญาดา อารัมภีร

หวยสักวา (2)

 

เมืองไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา ‘หวย’ ซึ่งเป็นการพนันทายตัวเลขหรือตัวหนังสือเฟื่องฟูเต็มบ้านเต็มเมือง กวีสมัยรัชกาลที่ 5 ได้นำเรื่องแทงหวยมาเล่นสักวาถวาย ณ พระที่นั่งสนามจันทร์ คืนวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีวอก พ.ศ.2415 โดยดำเนินเรื่องตามวิธีการเล่นหวย ก. ข. ที่ออกหวยด้วยตัวพยัญชนะหรือตัวหนังสือ

สักวาดังกล่าวบรรยายถึงกรรมวิธีเล่นหวยโดยละเอียด นักเลงหวยแต่ละรายหวังรวยจากการแทงหวยด้วยวิธีการต่างๆ เช่น นางกุดกู๋หูแหว่งรับบทโดยวงหม่อมเจ้าจำเริญไปขอหวยจากพระ เมื่อได้ก้นเทียนจากหลวงตาใบ้หวย (วงทูลกระหม่อม หรือสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงษ์) ก็มานั่งตีความว่าหมายถึงอะไร พอคิดออกก็ไปแทงหวยกับเสมียนเขียนหวยเป็นเงิน 1 เฟื้อง

 

“แทงฬ่อลอ ผอผีที่เสมียน             โปรดช่วยเขียนให้ดีฉันนั้นหน่อยหนา

เต็งผอผีลงไปอย่าได้ช้า                 ฉันจะลาไปบ้านหนาท่านเอย”

 

นักเลงหวยอีกราย (วงท่าพระของพระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ์) มองต่างมุม แทนที่จะแทงตัวเดียวกับนางกุดกู๋หูแหว่ง ก็แทงตัว ญอ ถึงสี่สิบสี่ จะแทงเป็นเฟื้อง สลึง ตำลึง ฯลฯ บทสักวาไม่ได้บอกไว้

 

“ตรองตรึกใบ้ในเจ้าสัวเห็นตัวเก่ง        ญอ ย่องเซง บอ แจหลีดีขยัน

รีบไปร้านท่านเสมียนเขียนฉับพลัน      แทงเดิมพันสี่สิบสี่ตัวดีเอย”

 

ถ้านึกไม่ออกว่าคนสมัยก่อนเขาแทงหวย ก. ข. อย่างไร หนังสือชุด “เมื่อวานนี้” ของ ‘กาญจนาคพันธุ์’ หรือขุนวิจิตรมาตรา ให้ความกระจ่างอย่างดี

“…วิธีแทงหวย เมื่อได้ตัวหวยแล้วก็ไปที่ร้านเขียนหวย บอกเขาว่าจะแทงตัวอะไร จะแทงตัวเดียว เช่น ป.กังสือ หรือจะแทง 2 ตัว ซึ่งเรียกว่า ตัวเช้า ตัวค่ำ เช่น ว. แชหุน กับ ข. ง่วยโป๊ ก็ได้ เจ๊กเขียนหวยก็เขียนตัวหวยลงในชิ้นกระดาษ (เหมือนกระดาษฟาง) แคบๆ ยาวสัก 4-5 นิ้ว เรียกว่า ‘โพย’ จดจำนวนเงินที่จะแทงลงไปในโพยเสร็จว่าแทงเท่าไร เสร็จแล้วเขียนลงสมุด (บัญชี) เรียกว่า ‘โผ’ ตามที่เราแทง เอาโพยต่อกับโผเข้าตีตราหนังสือจีนประจำต่อ แล้วให้โพยเรามาถือไว้เป็นหลักฐานจนกว่าหวยจะออกถูกหรือไม่ถูก…”

วงตำรวจรับบทเสมียนเขียนหวย ทำหน้าที่รับแทงโดยเขียนลงโพยหวย จัดการให้นางกุดกู๋หูแหว่งเป็นรายแรก

 

“สักรวาเสมียนนั่งเขียนหวย          เห็นสาวสวยแทงฬ่อเต็งผอผี

(ล เทียนเหลียง) ก้นเทียนเหลียงเรียงต่อก็พอดี          แล้วเขียนที่โพยพลันมิทันนาน”

 

วงท่าพระของพระองค์เจ้าประเสริฐศักดิ์มีหลวงเทพมาแทงหวยด้วย ทำให้เสมียนเขียนหวยสงสัยตงิดๆ ว่า นี่จะมา ‘แทง’ หรือมา ‘จับ’ นักเลงหวยกันแน่ เนื่องจากหลวงเทพเคยเป็นเจ้าตลาดหรือพนักงานเงินหลวงมาก่อน การใดควรไม่ควรน่าจะรู้อยู่แก่ใจ ไฉนคิดมาแทงหวย

 

“แต่หลวงเทพมาแทงยังแคลงอยู่    พิเคราะห์ดูจะต้องส่งไปโรงศาล

เพราะเป็นเจ้าตลาดอยู่เคยรู้การ      พนักงานเงินหลวงเขาทวงเอย”

 

นักเลงหวยมีวิธีการต่างๆ กันไป นอกจากขอตัวเด็ดๆ จากพระมาแทงแล้ว บ้างก็แทงหวยตามความฝันของตัวเอง มั่นใจแทงหนักถึงตัวละชั่ง (1 ชั่ง = 80 บาท) กะถูกหวยรวยแน่ๆ แต่ไม่วายขอให้เทวดาช่วย ดังจะเห็นได้จากวงพระมหาสงครามซึ่งรับบทสาวเล่นหวย

 

“สักรวาดวงสมรนอนฝันเห็น        ว่าได้เล่นถูกหวยรวยอักโข

จะแทงให้เขาลือว่ามือโต               ขอเทโวจงช่วยอำนวยชัย

หยิบกระดาษปากกาออกมาเขียน    ห่อมิดเมี้ยนมิให้ใครสงสัย

ตัวละชั่งเขียนบอกทั้งนอกใน        เอาไปให้เสมียนโรงไม่โกงเอย”

 

คุณพุ่ม วงสักวาหลวงมาเหนือชั้น ใช้ไสยศาสตร์เป็นตัวช่วย ก่อนแทงหวยก็อาศัย ‘เมฆฉาย’ ดูเมฆที่ลอยผ่านมาในท้องฟ้า มีรูปอะไรก็ทำนายไปตามที่เห็น แล้วตีออกมาเป็นหวย

 

“สักรวาชาววังนิ่งนั่งคิด                ดูลิขิตอย่างเอกเมฆฉาย

พอลมจันทร์นั้นเจริญเดินข้างซ้าย   ใจก็หมายเอาตัวมอกับฟอไฟ

จึงหยิบเงินในกลี่สิบสี่บาท            ส่งให้ทาสทาสาหาช้าไม่

เต็งตัวมอเต็มแรงแทงฟอไฟ          บ่าวก็ไปให้เสมียนนั้นเขียนเอย”

 

(กลี่ = น. ภาชนะสำหรับใส่หมากบุหรี่ โดยมากมีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีลิ้นข้างในยกออกได้)

 

นักเลงหวยบางรายหวัง ‘ปลดหนี้’ ดังที่วงคุณมอญ ธิดาเจ้าพระยาอภัยภูธร บรรยายว่า

 

“สักรวายามจนก็ค้นคิด                 โลภจิตเกิดกล้าขึ้นมามั่ง

หนี้สินยิ่งยุ่งพะรุงพะรัง               พอได้ฟังข่าวหวยก็พวยมา

บอกกับพ่อเสมียนศรีภักดีหลาน     ว่าช่วยวานเขียนให้ทีดีหนักหนา

ผอพ่อเพาะฬ่อลอตัววอวา           ตัวละห้าบาทรวดเข้มงวดเอย”

 

จะเห็นได้ว่านักเลงหวยบางคนไปแทงที่โรงหวยด้วยตนเอง บ้างก็ฝากคนอื่นไปแทงให้ แม้วงตำรวจจะรับบทเสมียนเขียนหวย ทำหน้าที่รับแทงหวยก็จริงอยู่ เมื่อสมควรแก่เวลาก็รวบรวมทั้ง ‘เงิน’ และ ‘โพย’ ไปส่งที่โรงหวย แต่ก็เอากับเขาด้วย ไม่ลืมแทงหวยทิ้งไว้เผื่อฟลุก

 

“สักรวาเขียนพลางทางแฉพับ        พอเสร็จสรรพเอาเงินใส่ลงในถุง

ฉวยห่อโพยเงินตราผ้าพันพุง         เห็นคนมุงหน้าโรงตรงเข้าไป

ส่งโพยพลันหันขยับนับเงินตรา     แล้วก็ถอยออกมาหาช้าไม่

ค่าน้ำโรงเรายังค้างอยู่ข้างใน         แทงตัวฮอ ฟอไฟไว้ด้วยเอย”

 

การออกหวยนั้นเป็นดังที่ ‘กาญจนาคพันธุ์’ บันทึกไว้ในหนังสือชุด “เมื่อวานนี้”

“ราว 4 ทุ่ม ร้านเขียนหวยต้องเอาสมุดโผ (ซึ่งมักจะเรียกกันว่าโพยหวยก็มี) ไปส่งถึงโรงหวย ถึงเวลา 5 ทุ่ม โรงหวยตีกลองสัญญาเรียกโผ 3 ครั้ง เมื่อโรงหวยรับสมุดโผไปหมดแล้ว ถึงเวลา 2 ยาม โรงหวยก็ตีกลองอีก 3 ครั้ง เป็นสัญญาว่าหมดเวลาแทงหวยแล้ว ไม่รับแทงอีกต่อไป

ตอนหวยออกแล้วราวตี 2 จะมีคนของโรงหวยเดินร้องบอกตามถนนทั่วไป…ร้องตะโกนบอกตัวหวยที่ออก เสียงดังเป็นระยะๆ ติดกันไปเรื่อย คนร้องหวยนี้เห็นจะมีหลายคน เพราะถนนหลายสายแบ่งกันเป็นตอนๆ ไป พอรุ่งขึ้นเวลาสายหน่อย ร้านเขียนหวยก็จะเขียนตัวหวยที่ออกลงในแผ่นกระดาษป้ายบางๆ เล็กๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างราว 5 นิ้ว ยาวราว 7 นิ้ว (โตกว่าฝ่ามือใหญ่ๆ) มาแขวนไว้หน้าร้าน ผู้ใดถูกก็นำโพยไปให้เขาตรวจแล้วรับเงินไปได้ทันที”

สักวาเรื่อง “การเล่นหวย” สมัยรัชกาลที่ 5 ใครรวย ใครถูกหวยกิน

ฉบับหน้ารู้