บทเรียนม็อบมีเส้น / ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

บทเรียนม็อบมีเส้น

 

คดีม็อบ กปปส.ที่ก่อการชุมนุมเมื่อปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557 เพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขัดขวางการเลือกตั้ง บุกยึดสถานที่ราชการต่างๆ ยึดท้องถนนปิดกั้นการจราจร ชัตดาวน์ประเทศเพื่อไม่ให้รัฐบาลบริหารราชการได้ ซึ่งมาถึงวันตัดสินพิพากษาแล้ว โดยศาลลงโทษแกนนำหลายราย มีความผิดจำคุก รอลงอาญาบางราย ยกฟ้องส่วนหนึ่ง และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองในบางรายด้วย

โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำคนสำคัญสุดของม็อบ โดนลงโทษจำคุก 5 ปี ขณะที่ 3 รัฐมนตรี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายถาวร เสนเนียม โดนโทษจำคุกด้วย จึงต้องพ้นจากตำแหน่งในทันที

ถือเป็นคดีใหญ่ในทางการเมืองไทย และเมื่อมีคำพิพากษาว่ากระทำผิดจริงเช่นนี้ จึงเป็นบทเรียนบทใหญ่สำหรับการต่อสู้ทางการเมือง!

จะว่าไปแล้ว การชุมนุมของ กปปส.หรือม็อบนกหวีด มีกระบวนการเบื้องหลังที่ซับซ้อน

แตกต่างอย่างมากกับการชุมนุมของม็อบนักเรียน-นักศึกษา หรือคณะราษฎร ที่เคลื่อนไหวเมื่อปลายปีที่แล้วและกลับมาอีกครั้งในระยะนี้

ด้วยม็อบของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ เป็นม็อบที่เป็นพลังของคนรุ่นใหม่ล้วนๆ มีแนวร่วมสนับสนุนคือคนเสื้อแดง ไปจนถึงนักวิชาการ และคนที่เชื่อในหลักประชาธิปไตย

ไม่มีกลุ่มอำนาจใดๆ อยู่เบื้องหลัง

จึงกล่าวกันว่าม็อบเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมด้วยจำนวนมวลชนที่เนืองแน่น แต่เมื่อไม่มีวงจรอำนาจอื่นหนุนหลัง ก็ไม่ได้ทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หวั่นไหวอะไรมากนัก!

ด้วยมีหลักที่ว่า ม็อบแท้ๆ พลังบริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่อาจสั่นคลอนรัฐบาลที่มีฐานกองทัพ มีกลุ่มชนชั้นสูงสนับสนุนได้ และในทางกลับกันม็อบที่มีกลุ่มอำนาจอื่นร่วมมือ นั่นแหละจึงจะล้มรัฐบาลได้ โดยจบลงที่รัฐประหาร

แต่รัฐบาลไม่ได้มองให้ลึกว่า การเคลื่อนไหวของม็อบเยาวชนนี้ แม้จะไม่ทำให้รัฐบาลล้มได้ แต่เป็นม็อบที่สร้างกระแสความคิด ยกระดับความจริงให้ทั่วทั้งสังคมไทยได้รับรู้อย่างกว้างขวาง และมีแต่เพิ่มระดับมากขึ้นไปเรื่อยๆ

จนถึงจุดหนึ่งก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง

กระนั้นก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลประยุทธ์คงไม่มองอะไรได้ลึกขนาดนั้น

อีกทั้งคงเคยชินในสูตรเดิมๆ ด้วยประสบการณ์ในเหตุการณ์ม็อบ กปปส. ที่ปูทางให้ทหารเข้ายึดอำนาจ

และ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ยาวนานสู่ปีที่ 7 แล้ว!

 

อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย พล.อ.โกวิท วัฒนะ เคยชี้แจงในสภาถึงม็อบ พธม.ในช่วงนั้น ด้วยการใช้คำว่า “ม็อบมีเส้น” จึงทำให้จัดการแก้ปัญหาได้ยาก ถือเป็นคำที่อธิบายเบื้องหน้าเบื้องหลังได้ทะลุปรุโปร่งที่สุด

คงจำกันได้ว่า ม็อบ พธม.ออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ด้วยการสร้างกระแสอย่างโจ่งแจ้ง เรียกร้องให้ทหารออกมาล้มรัฐบาลนักการเมือง อ้างว่าเป็นการเมืองทุจริตคอร์รัปชั่น จนทำให้นักวิชาการปัญญาชน ที่เคยเข้าร่วมกับ พธม.เพราะมีจุดยืนต่อต้านทักษิณ ตัดสินใจถอนตัวจากม็อบ เพราะไม่เห็นด้วยกับวิธีการล้างบางการเมืองด้วยการให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ

แต่ลงเอยก็เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลเลือกตั้งจริงๆ

คำกล่าวที่ว่าเป็น “ม็อบมีเส้น” ย่อมหมายถึง มีกลุ่มอำนาจอยู่เบื้องหลัง และวางจังหวะก้าวเอาไว้แล้วว่า เมื่อประท้วงมาถึงจุดหนึ่ง สถานการณ์ถึงจุดลงตัว ทหารก็จะอ้างเป็นเงื่อนไขเพื่อยึดอำนาจ

การปรากฏตัวของม็อบ กปปส.ในปลายปี 2556 ก็เป็นกระบวนการแบบเดียวกัน เปลี่ยนจากล้มทักษิณ มาเป็นล้มยิ่งลักษณ์

มีวงจรอำนาจร่วมสนับสนุนและรอจังหวะเวลาที่จะเดินหมากสุดท้าย เพื่อล้มรัฐบาลเลือกตั้งเอาไว้พร้อม

ม็อบ พธม.และ กปปส. เป็นกระบวนการที่เหมือนกัน เรียกว่าม็อบมีเส้นได้เช่นเดียวกัน

จะเห็นได้ว่า ทั้งช่วงเคลื่อนไหวของ พธม.และ กปปส.นั้น มีแต่ตำรวจเท่านั้น ที่ทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมายและควบคุมสถานการณ์ ตามคำสั่งของรัฐบาล

แต่กองทัพวางตัวนิ่งเฉย!!

เมื่อรัฐบาลเรียกให้ออกมาช่วยควบคุมสถานการณ์ จะไม่ได้รับการตอบสนองจากกองทัพเช่นเดียวกัน ทั้งรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์

จนถึงจังหวะเวลาอันเหมาะสม ทหารที่นิ่งเฉยอยู่ จะออกมายึดอำนาจล้มรัฐบาลเลือกตั้ง ด้วยข้ออ้างว่า เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้คนไทยต้องตีกันฆ่ากัน

ทั้งที่ช่วงม็อบ กปปส.นั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ตัดสินใจถอย โดยยอมยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ไปตัดสินใจกันในการเลือกตั้งใหม่

แต่ด้วยวาทกรรม ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เป็นข้ออ้างในการไม่ยอมให้มีเลือกตั้ง แถมจัดกำลังม็อบไปขัดขวางเลือกตั้ง ไปบีบคอคน ไปคุกคามคนที่จะเข้าไปใช้สิทธิ์ในคูหา

ทั้งที่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ คือวิถีประชาธิปไตยที่ถูกต้องที่สุด และไม่ให้พัฒนาการเมืองไทยต้องล้มคว่ำ แล้วมานับหนึ่งกันใหม่ เป็นวงจรอุบาทว์

แต่ กปปส.ก็ไม่ยินยอมเลือกวิถีทางประชาธิปไตย ทำทุกอย่างเพื่อให้เข้าสู่ทางตัน จนลงเอยเหลือทางเดียวคือการรัฐประหาร!

 

เพราะความคุ้นชินกับกระบวนการแบบม็อบมีเส้น คือม็อบที่มีวงจรอำนาจร่วมคบคิดกัน จึงทำให้ม็อบของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ ไม่สร้างความกริ่งเกรงให้กับกลุ่มอำนาจปัจจุบัน ยังคงแข็งกร้าวใส่การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่

โดยหารู้ไม่ว่า เพราะไม่ใช่ม็อบมีเส้นนี่แหละ

จึงเป็นม็อบที่เคลื่อนไหวแบบละเลี่ยงความรุนแรง เพื่อเป้าหมายคือ ยกระดับความคิดของคนทั้งสังคมไทยครั้งใหญ่ ซึ่งก็ได้ผล สร้างความเปลี่ยนแปลงในมุมมองของคนในสังคมไทยได้อย่างกว้างขวาง

ไม่ใช่ม็อบที่จะชุมนุมยืดเยื้อ บุกยึดสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างเงื่อนไขให้กองทัพต้องออกมาแอ๊กชั่น

แต่เน้นสร้างความเข้าใจ สร้างความคิดใหม่ๆ ให้กับประชาชน จนถึงจุดหนึ่งก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ต้องไปคบคิดกับกองทัพ หรืออำนาจอื่นใด

อีกด้านหนึ่ง การต่อสู้ของม็อบมีเส้น ม็อบแบบมีกระบวนการสมคบคิดอยู่เบื้องหลังนั้น อันที่จริงก็น่าจะมีบทเรียนได้เรียนรู้อยู่ไม่น้อย

ประการแรก ชุมนุมประท้วง เพื่อกวักมือเรียกทหารนั้น สุดท้ายการรัฐประหารคือการฉุดประเทศให้ถอยหลัง ฉุดความเจริญทุกด้าน กระทบเศรษฐกิจปากท้องประชาชน

ประการต่อมา ถ้าไม่ใช่การลุกฮือด้วยพลังประชาชนล้วนๆ เป็นพลังยิ่งใหญ่มหาศาล อย่างเช่น 14 ตุลาคม 2516 จนทำให้รัฐบาลทหารโดนโค่นแบบขุดรากถอนโคน นำไปสู่การเป็นประชาธิปไตย จนเป็นชัยชนะของประชาชนจริงๆ

แต่ถ้าเป็นพลังมวลชนที่ประท้วงเพื่อรอเวลาให้รถถังออกมา สุดท้ายก็ไม่ใช่ชัยชนะด้วยพลังม็อบแท้จริง จึงต้องรับผลที่ตามมา ต้องถูกดำเนินคดีตามมาอย่างเลี่ยงไม่พ้น

สำคัญสุดเป็นการต่อสู้เพื่อปูทางให้กลุ่มขุนศึกขุนนางเข้ายึดกุมอำนาจ

คำถามที่ควรนำไปสู่การขบคิดก็คือ แล้วประชาชนจริงๆ นั้น ได้ประโยชน์อะไรจากการทุ่มเทกำลังหยาดเหงื่อนั้น

ต่อสู้เพื่อให้เกิดการเมืองที่เป็นประโยชน์ของประชาชนคนวงกว้างจริงๆ หรือเพื่อประโยชน์ของชนชั้นอื่นใด!?!