ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 กุมภาพันธ์ 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
เมื่อจีนกับมะกันปะทะกัน
ในสงครามเกาหลี
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนหลังสงครามโลกครั้งที่สองเสื่อมทรุดลงตามลำดับเมื่อ “สงครามเย็น” ระหว่างอเมริกากับสหภาพโซเวียต “ระเบิด” ขึ้น
เหตุแห่งสงครามเย็นคือการเผชิญหน้าระหว่างสองลัทธิทางการเมือง
วอชิงตันถือว่าตนเป็นเสาหลักของโลกด้าน “เสรีประธิปไตย” ขณะที่มอสโกยึดเอา “คอมมิวนิสต์” อันมีรากฐานจากลัทธิ “มาร์กซ์-เลนิน” เป็นหลัก
ปักกิ่งเอียงข้างมอสโควเพราะสหภาพโซเวียตยื่นมือมาช่วยเป็น “สหาย” อันแข็งขันหลังจากที่อเมริกาหันไปอุ้มไต้หวันภายใต้การนำของเจียงไคเช็ก
โลกถูกแบ่งเป็นสองค่ายอย่างชัดเจน
วันนั้นจีนยังอ่อนแอ ต้องพึ่งพาสหภาพโซเวียตอย่างมาก จึงไม่อยู่ในสภาพที่จะท้าทายอเมริกาได้
นอกจากจะแสดงตนเป็นหนึ่งในแกนต่อต้าน “จักรวรรดินิยิมอเมริกา”
สงครามเย็นเริ่มเมื่อไหร่?
น่าจะนับเนื่องตั้งแต่ประธานาธิบดีสหรัฐแฮร์รี่ ทรูแมน ประกาศ “Truman Doctrine” หรือ “ลัทธิทรูแมน” เพื่อประกาศให้อเมริกาเป็น “พี่เบิ้ม” ของค่ายโลกเสรี
เป้าหมายหลักคือการทำลายอิทธิพลคอมมิวนิสต์ที่ถูกมองว่าพยายามจะครองโลก
สหรัฐยืนยันว่าโลกนี้จะต้องปลอดจาก “ภัยคอมมิวนิสต์” ขณะที่สหภาพโซเวียตยืนยันว่าจะ “ปลดปล่อย” โลกนี้ออกจากโซ่ตรวนแห่งทุนนิยม
แม้สหรัฐกับสหภาพโซเวียตจะเป็นพันธมิตรในการปราบนาซีเยอรมันของฮิตเลอร์ แต่หลังจัดการกับลัทธิ “ฟาสซิสต์” แล้ว ทั้งสองก็ไม่อาจจะหาทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้
สองยักษ์ใหญ่จึงแข่งกันสร้างอาวุธนิวเคลียร์ที่มีแสนยานุภาพทำลายล้างกันอย่างร้อนรน
เป็นที่มาของลัทธิที่เรียกว่า MAD (Mutually Assured Destruction)
แปลตรงตัวคือ “การทำลายล้างซึ่งกันและกันด้วยอาวุธร้ายแรง”
คำว่า MAD อาจมีความหมายว่า “บ้า” ได้เหมือนกัน
และ “บ้า” ในที่นี้หมายถึงการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดว่าจะโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งด้วยอาวุธทำลายล้างสูงก่อนโดยคิดว่าตนเองจะรอด
แต่ในความเป็นจริงหากทั้งสองฝ่ายมีอาวุธร้ายแรงพอๆ กันก็จะเป็นการสร้างดุลอำนาจไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งก่อน
เพราะไม่ว่าใครจะโจมตีใครก่อน (ที่เรียกว่า pre-emptive strike) อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่รอด ถูกทำลายหมดสิ้นเช่นกัน
สงครามเย็นน่าจะเกิดตั้งแต่ปี 1947 หลังสงครามโลกครั้งที่สองสองปี (และจบลงเมื่อปี 1991 หลังกำแพงเบอร์ลินล่มสลายในปี 1989)
แต่พอถึง 1950 ก็เกิดสงครามเกาหลี
เป็นอีกจุดหนึ่งของการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐกับจีนในสมรภูมิการสู้รบที่ดุเดือดยิ่ง
สงครามเกาหลีเริ่มวันที่ 25 มิถุนายน 1950 ถึง 27 กรกฎาคม 1953
ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการสงบศึกอย่างเป็นทางการ มีเพียงการตกลง “หยุดยิง” กันถึงวันนี้
สงครามเกาหลีตอกย้ำว่าจีนกับอเมริกายืนอยู่คนละข้างของอุดมการณ์ทางการเมืองหลังจากที่วอชิงตันกระโดดไปเข้าข้างเจียงไคเช็ก และตราหน้าว่ารัฐบาลใหม่ของจีนภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุง (ก่อตั้ง 1 ตุลาคม 1949…ก่อนสงครามเกาหลีเพียง 9 เดือน)
สงครามเกาหลีคือการรบพุ่งระหว่างเกาหลีเหนือ (สนับสนุนโดยจีนและสหภาพโซเวียต) และเกาหลีใต้ (หนุนหลังโดยสหประชาชาติที่มีสหรัฐเป็นหัวหอก)
หลังจากที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ 15 สิงหาคม 1945 เกาหลีถูกแย่งเป็นสองซีกตรงเส้นขนานที่ 38
สหภาพโซเวียตคุมส่วนเหนือ
อเมริกายึดส่วนใต้
ปีต่อมา เมื่อสงครามเย็นเริ่มระอุ สองยักษ์ใหญ่ก็ตัดสินใจแบ่งเกาหลีเป็นสองประเทศ…
ทางเหนือคือค่ายคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของคิมอิลซุง
ทางใต้ถูกนำโดยซิงมาน รี
ทั้งสองคนมีความเผด็จการพอๆ กันเพราะได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นอย่างเต็มที่
เพราะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันลัทธิในสงครามเย็น
ทั้งสองฝ่ายอ้างว่าตนคือผู้นำอันชอบธรรมของเกาหลีทั้งหมด และสองผู้นำต่างก็ไม่ยอมรับเส้นพรมแดนนั้นเป็นเรื่องถาวร
สงครามเกิดขึ้นเพราะเกาหลีเหนือยกทัพบุกเกาหลีใต้หลังการปะทะกันตรายแดนและการลุกฮือในเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1950
คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติประณามการกระทำของเกาหลีเหนือ และอนุมัติให้มีการก่อตั้ง “กองบัญชาการสหประชาชาติ” สั่งให้ส่งกองกำลังไปยับยั้ง “การรุกราน” ของเกาหลีเหนือต่อเกาหลีใต้
แต่มติของสหประชาชาติ (ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นหยกๆ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง) ไม่เป็นที่รับรองของสหภาพโซเวียตและจีนคณะชาติ (ตอนนั้นจีนปักกิ่งยังไม่ได้เป็นสมาชิกยูเอ็น)
ทั้งสองประเทศนี้ประกาศอยู่ข้างเกาหลีเหนืออย่างออกนอกหน้า
ทหารจาก 21 ประเทศ (รวมไทยด้วย) ส่งทหารมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองบัญชาการสหประชาชาติ
แต่ใครๆ ก็รู้ว่าอเมริกาคือ “พี่เบิ้ม” ของกองกำลังนี้เพราะเป็นประเทศที่ส่งทหารมาถึง 90% ของทั้งหมด
นายพลดักลาส แม็กอาร์เธอร์ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารฝ่ายสหรัฐนำกองกำลังรุกข้ามเส้นขนานที่ 38 มุ่งสู่ชายแดนจีน
นำไปสู่การปะทะระหว่างทหารจีนกับอเมริกันเป็นครั้งแรกหลังการสู้รบกันในการลุกฮือที่เมืองจีนที่รู้จักกันดีในชื่อ The Boxer Uprising ในปี 1900
นายพล “บ้าดีเดือด” คนนี้สร้างประวัติการรบพุ่งด้วยการสั่งทหารของตนลุยเข้าในเขตศัตรูโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับวอชิงตัน
ทหารสหประชาชาติรุกเข้าเกาหลีเหนือในเดือนตุลาคม 1950 มุ่งสู่แม่น้ำยาลูซึ่งเป็นเส้นแบ่งชายแดนระหว่างเกาหลีเหนือกับจีน
ทหารจากกองทัพอาสาสมัครประชาชน (People’s Volunteer Army หรือ PVA) ของจีนยกกองกำลังข้ามแม่น้ำมาร่วมสงครามทันที
การที่จีนตัดสินใจเข้าร่วมรบอยู่คนละข้างกับสหรัฐสร้างความประหลาดใจพอสมควร
ทหารจีนรุกหนักและสามารถฝ่าห่ากระสุนของกองกำลังสหประชาชาติข้ามเข้าเกาหลีใต้ได้ในเดือนธันวาคม
การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทหารจีนยึดกรุงโซลทางใต้ได้ถึง 4 ครั้ง
ทหารสหรัฐและพันธมิตรผลักดันให้ทหารจีนและเกาหลีเหนือกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมรอบๆ เส้นแบ่งที่ 38
ตลอดเวลาสองปีต่อมาการปะทะระหว่างสองฝ่ายกลายการสู้รบยืดเยื้อ
การสู้รบการอากาศกลายเป็นยุทธวิธีที่อเมริกานำมาใช้…ด้วยการถล่มเกาหลีเหนือด้วยเครื่องบินรบ
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สงครามที่มีการ “สู้รบกันกลางหาว” ระหว่างกองทัพอากาศสหรัฐกับเกาหลีเหนือ
โดยมีนักบินโซเวียตแอบช่วยขับเครื่องบินรบช่วยเหลือเกาหลีเหนือ
เมื่อเขาขอไฟเขียวจากประธานาธิบดีทรูแมนให้บุกเข้าไปในเขตลึกๆ ของจีนก็ถูกเรียกตัวกลับวอชิงตัน
หากนายพลแม็กอาเธอร์แข็งขืน และนำทหารเข้ายึดเมืองในจีนในช่วงนั้น เราอาจจะได้อ่านประวัติศาสตร์โลกเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้
เพราะเหมาเจ๋อตุงเพิ่งจะประกาศสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” หลังตีพ่ายเจียงไคเช็ก จึงยังกำลังฮึกเหิมและพร้อมจะพิสูจน์ว่า “กองกำลังปลดแอก” ของจีนคอมมิวนิสต์จะไม่ยอมก้มหัวให้กับทหาร “จักรวรรดินิยม” เป็นแน่แท้
การสู้รบระหว่างสองฝ่ายในเกาหลียืดเยื้อถึงปี 1953 โดยที่ต่างฝ่ายต่างปักหลักในที่มั่นของตน ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งข้ามเส้นแบ่งตรงกลางเกาหลีได้
สงครามเกาหลีคือช่วงตอนประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกว่าสายน้ำจะไม่ไหลวนกลับมาอีก
สหรัฐกับจีนตัดสินใจแล้วว่าต่างคนจะสร้างดาวคนละดวงบนโลกใบนี้แน่นอน