ครัวอยู่ที่ใจ : ทางรอดอยู่ในครัว : ทีมคุณตะพาบ / อุรุดา โควินท์

ทางรอดอยู่ในครัว
: ทีมคุณตะพาบ

นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะท้อแท้ แม้ทุกอย่างชวนให้ท้อ โควิดระบาดอีกรอบ ที่คาดว่าฤดูหนาวจะมีคนมาเชียงราย ก็กลายเป็นว่าง ถนนโล่งมาก กระทั่งคนเชียงรายยังไม่ค่อยออกไปไหน

ทั้งฉันและจ๋าเปิดบ้านให้คนพัก เราหวังว่าฤดูหนาว อะไรๆ จะดีขึ้น แต่ตารางห้องพักก็ว่างโล่ง

เราฝันจะจัดโยคะรีทรีตในเดือนกุมภาพันธ์ ฝันก็พลันสลายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

มิ้วต้องทำงานจากที่บ้านอีกครั้ง เธอก็เลยไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ตอนนี้

กลายเป็นว่าเราสามคนถูกขังให้อยู่ในบ้านเกิดในช่วงแร้นแค้นอย่างยิ่ง

ว่ากันตามจริง ลึกลงไป ฉันล้าลงมาก เธอสองคนก็คงเหมือนกัน เราอาจหัวเราะด้วยกัน แต่เมื่ออยู่คนเดียว ความวิตกกังวลก็พยายามครอบครองใจเรา

มีทางเดียวที่เราอาจชนะ แค่อาจจะ แต่นั่นก็เป็นหนทาง

เราต้องสู้ สู้ซึ่งไม่ได้หมายถึงอดทนและกลัว แต่คือการลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง หรือหลายอย่าง สิ่งดีๆ เรื่องดีๆ อาชีพใหม่ๆ หรือใดๆ เท่าที่เราสามารถทำในข้อจำกัดของโลกปัจจุบัน

ฉันจึงตัดสินใจทำช่องยูทูบเสียที หลังจากที่จดๆ จ้องๆ มานาน จ๋าเรียนมาทางนี้ ถ่ายได้ ตัดต่อได้ เรามีเรื่องราวที่จะเล่า อาหาร โยคะ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความหลงใหลในชีวิตสามัญของเรา

ยังไม่มีชื่อช่อง แต่เราก็นัดถ่ายกันวันนี้ โดยเริ่มจากการไปตลาด

“ไปตลาดเทปหนึ่ง กลับมาทำกับข้าวเทปสอง โอเคมั้ยพี่” ผู้กำกับจ๋าถาม

“ได้เลย” ฉันตอบ “ทำอะไรกินดี”

“กับข้าวเมือง” จ๋าว่า

“น้ำพริกตาแดงดีมั้ย” ฉันเสนอ เพราะกำลังอยากกิน

“ที่บ้านก็มีกิน แม่เพิ่งทำ” มิ้วว่า

“ก็บ่อต้องกิ๋นก๊ะ” จ๋าสวนทันที

เราหัวเราะ เมื่ออยู่ด้วยกัน เราหัวเราะง่าย โดยเฉพาะฉัน บางวันมิ้วถึงกับถามว่า ฉันดูดกัญชามาหรืออย่างไร

“ไปจ่ายตลาดก่อน เดี๋ยวก็คิดออก” ฉันขึ้นรถคนแรก

ถ่ายเปิดเทปในรถ เรามีเรื่องในหัวโดยประมาณ เล่าสู่กันฟัง แต่ไม่มีสคริปต์ เราต้องการความเป็นธรรมชาติ หัวเราะเสียงดังอย่างที่เป็น แซวกันแรงๆ อย่างที่เคย สาระนั่นย่อมมี ให้เป็นหน้าที่จ๋าไปตัดเอา

พอมาถึงตลาด ฉันก็คิดได้ว่า ฤดูกาลนี้ถ้าไม่กินผักกาด ก็ถือเป็นการปฏิเสธของขวัญชิ้นโต

โอเค ซื้อกระดูกหมู ซื้อผักกาดไปจอ ซื้อหมูไปทอด และซื้อน้ำพริกตาแดง แค่นี้ก็ได้หนึ่งมื้อของพวกเรา

จ๋าวิ่งมาสะกิดแขน “พี่ เรามาถ่ายงานนะวันนี้ ไม่ได้มาจ่ายตลาดอย่างเดียว เดินช้าๆ หน่อย”
จริงด้วย พอเห็นของกินแล้วลืมน่ะ ฉันทอดฝีเท้าช้าลง ซื้อวัตถุดิบครบ ซื้อขนม แล้วเราก็ขึ้นรถ

อาหารเหนือประกอบด้วยวัตถุดิบไม่กี่อย่าง การจ่ายตลาดจึงรวดเร็วมาก จ๋าคิดว่าตัดให้น่าสนใจน่าจะเหลือราว 3 นาที ซึ่งน้อยเกินไป

“แม่ครัวอยากกาแฟมาก แวะหน่อยนะ” ฉันบอกมิ้ว

“งั้นเราไปจบที่ร้านกาแฟดีมั้ย จ่ายตลาด แล้วแม่ครัวไปซื้อกาแฟ เพราะกัญชาที่ดูดไปหมดฤทธิ์แล้ว” มิ้วออกรถ

สรุปว่าเทปแรก เราน่าจะได้ห้านาทีเต็ม หากมีร้านกาแฟด้วย ร้านที่เราเลือก ไม่ใช่ร้านที่นักท่องเที่ยวชอบไป ไม่ใช่ร้านเก๋ๆ สำหรับถ่ายรูป แต่กาแฟอร่อยที่สุดสำหรับฉันและมิ้ว (จ๋าไม่ดื่มกาแฟ)

เทปที่สองเราถ่ายอย่างคึกคัก ช่วยกันเด็ดผัก ปอกหอมแดง

จ๋าพูดไม่หยุดปาก… แสงสวยมาก แสงสวยมาก

จอผักกาดนั้น ใช้เวลาทำราวครึ่งชั่วโมง แต่เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม เราใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเศษ

“เราทำเวลาดีมาก นี่หยุดกินขนม กินกาแฟด้วยนะเนียะ” ฉันบอก “เดี๋ยวทอดหมูแล้วกินข้าวกันเลย เสร็จงานละ”

จ๋าจ้องตาฉัน “หนูว่าพี่ไปเปลี่ยนเสื้อแล้วมาถ่ายอีกเทปดีกว่า ทำหมูทอด ยกมากินด้วยกัน คือเทปที่สาม”
หา!

ฉันกับมิ้วมองตากัน

จ๋าพยักหน้าหนักแน่น

โอเค ใส่เสื้อตัวใหม่ ออกมาทำหมูทอดน้ำปลา ซึ่งง่ายนิดเดียวน่ะ แต่ใครไม่ค่อยทำแบบเรา

ใช้สันคอหมู หั่นให้ชิ้นใหญ่หน่อย หมักน้ำปลาดีๆ กับพริกไทยขาว ก่อนทอดก็โรยแป้งทอดกรอบลงไปนิดหนึ่ง ทอดน้ำมันเยอะๆ ร้อนๆ เคล็ดลับของฉันก็คือ ทอดสองครั้ง พอหมูได้ที่ ฉันจะเอาขึ้นจากเตา นับหนึ่งถึงสิบ แล้วลงทอดอีกครั้ง ได้หมูที่กรอบนอก นุ่มใน และมีสีน้ำตาลทองสวย

“มันยังมาลำแต้ ลำขนาด” มิ้วว่า

นี่ชมเพราะถ่ายอยู่ใช่มั้ย ฉันคิด แต่เมื่อมองตาเธอ ฉันก็รู้ว่าจริง มิ้วมีความสุขกับการกิน ยามเธอกินของถูกใจ ตาของเธอจะเป็นประกายวิบวับแบบนี้เลย

เรายกอาหารมาวางบนโต๊ะตามคิวของผู้กำกับจ๋า รอผู้กำกับจ๋าสั่งคัต เราก็ลงมือกินอย่างจริงจัง

“ม่วนดีโนะ วันนี้” จ๋าว่า
จริงของเธอ เราสนุกกันมาก อย่างกับไม่ได้ทำงาน แต่ได้งานตั้งสามเทป แถมยังได้กินอาหารอร่อย

“แน่นอนสิ เราคือทีมงานคุณตะพาบ” มิ้วสรุป

เรื่องตบมุขต้องยกให้มิ้ว จะขำหรือเงียบ ค่อยว่ากันอีกที