การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ความฉ่ำแฉะย้อยก้นจนเกินเบี่ยง

อนิจจาตัวกูผู้ทรามโฉด

แล้วจะโทษผู้ใดไปเบื้องหน้า

หากต้องจรร่อนเร่, เทวดา

สิ้นรักษาคงต้องสนองรับ…

 

“ตื่นหรือยังจ๊ะพี่” มีเสียงขาน

พลางเสียงช้อนกระทบจานการหยิบจับ

สลัดหัวผลักผ้าปกขาทับ

แลสำรับข้าวปลาวางท่ารอ

 

“ไปล้างหน้าแปรงฟันฉันเตรียมให้

สบู่ใหม่เพิ่งลอกเปลือกออกห่อ

แล้วมากินน้ำข้าวชะคาวคอ”

พลางหัวร่อกลั้วเสียงเพียงหยอกเอิน

 

เหมือนเส้นเอ็นตึงไพล่ไปถึงหลัง

ผุดลุกนั่งเอี้ยวไหล่ให้ขัดเขิน

หากครู่เดียวฝีเท้าก็ก้าวเดิน

มาเผชิญจ้องหน้าด้วยตายิ้ม

 

“ใจจริงอยากให้เธอหลับอยู่กับฟูก

เตรียมยาหยูกรอก่อนให้นอนอิ่ม

แต่ห่วงข้าวต้มข้นรอคนชิม

อยากให้ลิ้มรสไข่พริกไทยโรย”

 

“ขอบคุณมาก…” ตอบเพื่อนเสียงเจื่อนแปร่ง

เหมือนกลับมาล้าแรงอยู่แห้งโหย

สัมผัสความเป็นห่วงทั้งปวงโดย

ใจยวบโรยพรึงพรั่นเกินบรรยาย

 

ทรุดลงนั่งกลางห้องจ้องชามข้าว

นวลข้าวขาวจะแจ้งในแสงบ่าย

ไข่เจียวหมูฟูกรอบจานขอบลาย

พลางฉานฉายนัยน์ตาจ้องท่าที

 

มือเลื่อนแก้วน้ำให้มาใกล้ตัก

“ไม่มีผักให้แกล้มแนมนะพี่

รอวันพรุ่งไปกาดอาจได้มี

หอมผักชีสะระแหน่โหระพา

 

ถ้าได้เนื้อจะเถือแล่งแบ่งทำต้ม

มะเขือส้มเฉือนใส่ลงคงเข้าท่า

ทุบตะไคร้ใส่พริกแดงจนแจ้งตา

เผ็ดเปรี้ยวซ่าข่ามะนาวเข้าแต่งยศ

 

หรือว่าอยากอาหารหวานเชื่อมบวด

จะได้รวดเลือกกล้วยเอาสวยสด

อยากเห็นเธอเพลิดเพลินเจริญรส

ตักน้ำซดเกลี้ยงถ้วยด้วยพอใจ”

 

ริมปากเพื่อนเหมือนปากนกผงกอ้า

เจื้อยแจ้วอยู่ดังว่าภาษาใหม่

เข้าหูซ้ายทะลุอีกหูไป

สิ้นคำใดจะตอบสนทนา

 

[ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง

ต้องจิตร์คิดรักเป็นนักหนา

คลึงเคล้าเย้ายีปรีดา

เห็นผัวนิทราสนิทนอน

 

หยิบเอาใบยางมาต่างพัด

โบกปัดยุงริ้นที่บินว่อน

ปรนนิบัติมิให้ขัดอนาทร

ขุนแผนหลับนอนด้วยเหนื่อยนัก

 

ลมพัดใบไม้ร่วงลงกราวกราว

นางหนาวเยือกเย็นสะท้านหนัก

พลิกผวาคว้ากอดเอาผัวรัก

นางซบภักตร์ร้องไห้ด้วยไม่เคย

 

จิ้งหรีดหริ่งหริ่งนิ่งนอนวัน

ชะนีหันโหยร้องอยู่เหวยเหวย

ให้หวาดหวั่นพรั่นใจกระไรเลย

เกิดมาไม่เคยจะได้พบ

 

ไม่เคยเห็นเป็นน่าอนาถนัก

ได้ประจักษ์พบเห็นอยู่เจนจบ

ยุงริ้นบินต่ายระคายคบ

ตั้งแต่นี้จะพบทุกสิ่งอัน

 

ยังพรุ่งนี้จะเห็นกระไรเล่า

จะยากยิ่งกว่าเก่าหรือไรนั่น

ให้เคืองขุ่นมุ่นหมกอกดึงดัน

ให้หวั่นหวั่นคิดคะนึงถึงขุนช้าง…]

 

หวนระลึกถึงเรื่องหนังสือเก่า

มีใครเขาข้องจิตฉุกคิดบ้าง

น้ำตาพิมพรายพรูอยู่รายทาง

เพราะชั่วอย่างขุนแผนผู้แสนเลว

 

แต่จะเลวเพียงไรก็คล้ายกู

ดั่งห้อยอยู่โยนโยนบนขอบเหว

ต่องแต่งเหนือกองขอนสุมฟอนเปลว

ไม่ช้าเร็วย่อมตกนรกพลัน

 

อยากอยู่ดีมีทรัพย์ได้กลับเหย้า

ก็สนองคุณเขาเสียซึ้งนั่น

โลภหวงเห็นแก่ตัวชั่วเช่นนั้น

จะนับวันนำเอาเขาเสื่อมตาม

 

เสียแต่พอขึ้นเตียงก็เสียงแผก

กระสันแหกหัวหูมิรู้ห้าม

ถึงที่สุดจุดหนึ่งซึ่งแสนทราม

คือกูยามติดสัดชัดกระไร

 

[พระจันทร์จรแจ่มกระจ่างดวง

สว่างพวงพุ่มช่อดวงไสว

นางแย้มแย้มรับอยู่ริมไพร

ซ่อนชู้ชูใจให้เชยชู

 

เล็บนางกางกลีบแหลมแฉล้ม

ยี่สุ่นแกมแก้วกาหลงอยู่

ช้องนางนางสยายให้เชยชู

ชมภู่เหมือนจะทักให้พาชม

 

มะลิวัลย์เหมือนเมื่อวันเจ้าจากพี่

จำปีปีหนึ่งจึงคืนสม

สุกรมเหมือนเจ้าตรอมบอมระบม

อบเชยเหมือนได้ชมอยู่เชยชิด

 

พิกุลเหมือนพี่กอดกุมถนอม

พะยอมเหมือนเจ้ายั่วให้ยวนจิตร…]

ยิ่งกลอนไหลในหัวพาตัวคิด

สำนึกผิดหลัดหลัดก็ซัดเซ

 

โอ้ตัวกูอยู่วังหรือหลังส้วม

ก็เหลืองรวมเปียกเปรอะอยู่เฉอะเฉ่

ควรชำระสะสางล้างคราบเท

หยุดโลเลขี้เองแล้วเบ่งเอียง

 

อันขี้กูกูขี้อยู่นี่แน่ะ

ความฉ่ำแฉะย้อยก้นจนเกินเบี่ยง

หยุดได้แล้วกูหนอต้องพอเพียง

หยุดหลบเลี่ยงความจริงสิ่งต้องเช็ด