วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร / ผลักรุน เสิ่นจุย เข้ากรมคลัง (68)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

ผลักรุน เสิ่นจุย เข้ากรมคลัง (68)

 

ไม่ว่าจะมองจากมุมของเหมยฉางซู ไม่ว่าจะมองจากมุมของเซียวจิ่งเหยียน ความสัมพันธ์ที่ทั้ง 2 ตกลงร่วมกันเริ่มเดินลึกไปยังสภาพความเป็นจริงของปัญหา

ประเด็นอยู่ที่การเลือกและนำเสนอของเหมยฉางซู

อย่างเช่น บุคลากรที่จะรับผิดชอบ “กรมคลัง” เซียวจิ้งหวังก็ยอมรับและเท้าความ “วันนั้นท่านส่งจดหมายให้ข้าไปนั่งเล่นที่หอซิ่งอวิ๋นก็เพราะคนผู้นี้”

หมายความว่าเซียวจิ่งเหยียนเองก็รู้จัก

“ผู้อื่นไปถึงหอซิ่งอวิ๋นเพื่อกินอาหาร มีแต่เขาที่เรียกคนจัดซื้อวัตถุดิบในร้านออกมา แล้วก็ถามราคาเป็ด-ไก่ พืชผัก ซีอิ๊ว น้ำมัน ข้าถึงอดหันมองไม่ได้”

มองในจุด “ต่าง” เมื่อเทียบกับคนอื่น มองในความละเอียดลออ รอบคอบ

นั่นแหละคือเครื่องเร้าให้จิ้งหวังสนใจ นั่นแหละคือการคัดสรรบุคลากรที่จะเข้าร่วมทีมเพื่อสร้างผลงาน สร้างภาพลักษณ์ให้กับจิ้งหวังในกาลข้างหน้า

เป็นการจัดวางเพื่อชิงความได้เปรียบจากรัชทายาทและอวี้หวัง

 

เหมยฉางซูมองอย่างไรในเรื่องนี้ “กรมคลังเป็นผู้ควบคุมการเงินของประเทศ เกี่ยวข้องกับปากท้องของราษฎรโดยตรง เสียดายที่ตอนนี้ถูกโหลวจือจิ้งดูแลจนกลายเป็นอ่างย้อมผ้าหลากสี

คนที่มีใจออกไปตรวจสอบราคาสินค้าในท้องตลาดด้วยสัตย์ซื่อกลับเหลือเขาเพียงคนเดียว

หากมิใช่เพราะเป็นบุตรของซิงเหอจวิ้นจู่ ชาติกำเนิดสูงศักดิ์ เกรงว่าจะถูกกีดกันออกไปนานแล้ว พวกท่านหลังจากรู้จักกันแล้วคุยกันถูกคอหรือไม่”

“นับว่าเข้ากันได้” แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าหนทางข้างหน้าจะสะดวก

“โหลวจือจิ้งถูกลากเข้าไปอยู่ในคดีฆาตกรรม ตำแหน่งเสนาบดีเกรงว่าคงนั่งได้อีกไม่นานแล้ว เสิ่นจุยตอนนี้เป็นเพียงขุนนางชั้น 3 เลื่อนขึ้นอีก 1 ชั้นเพื่อเป็นเสนาบดีก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แต่เขาทั้งไม่ใช่คนของรัชทายาทและไม่ใช่คนของอวี้หวัง คิดผลักดันเขาจะทำได้หรือ”

“ก็เพราะเขาไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใด โอกาสนี้จึงตกใส่ศีรษะเขา แน่นอน เวลานี้ยังมีเรื่องราวให้ต้องทำอีกมาก แต่ก็มีความมั่นใจอยู่หลายส่วน”

พลันปรากฏรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้ม “เจ้าเล่ห์” จากเหมยฉางซู

 

สะท้อนให้เห็นว่าการย้ายบ้านของเหมยฉางซูดำเนินไปอย่างมีเป้า สัมพันธ์กับการค้นพบโครงกระดูกในบ่อน้ำ สัมพันธ์กับความฉาวโฉ่อันสัมพันธ์กับโหลวจือจิ้ง เสนาบดีกรมคลัง

นี่ย่อมเป็นการวางแผน นี่ย่อมเป็นการกำหนดกลยุทธ์

“อวี้หวังรอคอยมากี่ปีถึงมีโอกาสเช่นนี้ย่อมต้องขัดขวางอย่างหนักไม่ให้รัชทายาทผลักดันคนของตัวเองเข้าไปแทนที่ ส่วนฝั่งรัชทายาทก็เช่นกัน โหลวจือจิ้งถูกโค่นนับเป็นความสูญเสียยิ่งใหญ่

หากปล่อยให้คนของอวี้หวังเข้าไปเสียบแทน ไยมิใช่ยิ่งขาดทุนหนักขึ้น”

สภาพการณ์เช่นนี้เองนำไปสู่บทสรุปอันรวบรัดจากปากเหมยฉางซู “2 ฝ่ายขัดแข้งขัดขากันไปมา ผลประโยชน์ย่อมตกอยู่ในมืออวี๋เวิง”

อันเป็นอุปมาว่าได้ผลประโยชน์จากความขัดแย้งของคนอื่น

“สภาพการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ซ้ำยังมีท่านคอยโหมกระพือ เสิ่นจุยนับว่าประสบวาสนาแล้ว แผนการท่านซูลึกล้ำยิ่งนัก สมแล้วที่ได้รับการขนานนามว่าอัจฉริยะฉีหลิน”

สีหน้าเหมยฉางซูผุดแววขมขื่นเบาบาง หลับตาต่ำไม่ตอบคำ

 

ในความคำนึงของเหมยฉางซู อัจฉริยะน่ะหรือ ในโลกนี้จะมีใครเหนือกว่าใครอย่างแท้จริง ก็แค่หลายปีที่ผ่านมาเรามุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้เรื่องเดียว

แน่นอน ย่อมคิดการณ์ได้รอบคอบ แยบยล

“แต่เสิ่นจุยก็เป็นขุนนางมือสะอาดจริงๆ ผลักดันเขารับตำแหน่งนับว่าตรงตามความปรารถนาของข้า” จิ้งหวังสะกดสายตามองเหมยฉางซูพร้อมกับประสานมือคารวะ

“ความเอาใจใส่ของท่าน ข้ายินดีรับไว้”

“เสิ่ยจุยเป็นเพียงก้าวแรก อีกไม่ช้ากรมพิธีการ กรมมหาดไทยและกรมอาญาก็จะเกิดตำแหน่งว่างเช่นกัน คนที่กระหม่อมเล็งไว้ล้วนอยู่ในรายชื่อที่มอบให้องค์ชาย”

นั่นคือบทบาทของนักวางแผน นั่นคือจังหวะก้าวของเหมยฉางซู