เรื่องสั้น | หากมิใช่ความจริงในฝัน ก็คงเป็นฝันในความจริง (จบ)

ห้องเรียนอันว่างเปล่าจากผู้คน เงียบเชียบ วังเวง เก้าอี้วางระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ ที่นั่งของ ศ.ดร.วิทย์ยังคงอุ่น ขณะที่ข้อความสีแดงบนจอโปรเจ็กเตอร์ก็ยังปรากฏหลาอยู่

“สมรภูมิที่แท้จริงอยู่ในใจ”

สมรภูมิที่แท้จริงอยู่ในใจ? อะไรกัน เป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจให้กระจ่างถ้าเพียงแต่อ่านแค่ประโยคนี้ ช่างมันเหอะ หน้าที่ผมคือเก็บกวาดต่างหาก แต่ทันใดนั้น ประตูห้องก็เปิดผลัวะ ศ.ดร.วิทย์นั่นเอง แกยิงคำถามตามมาทันที

“นี่คุณ เห็นแฟ้มสีน้ำเงินวางอยู่ในนี้มั้ย”

“อยู่บนโต๊ะริมผนังกระจกน่ะครับอาจารย์”

“อยู่ตรงนี้นี่เอง”

“อาจารย์ครับ ข้อความบนโปรเจ็กเตอร์นั่นหมายถึงอะไรเหรอครับ”

“อ่า… มันอธิบายไม่ง่ายนะคุณ” เสียง ศ.ดร.วิทย์งึมงำอยู่เบาๆ

ห้องเรียนกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ชิตก้มหน้ากวาดพื้น ส่วน ศ.ดร.วิทย์กำลังขะมักเขม้นกับการเช็ดแว่น จู่ๆ ก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว และคว้าตัว ศ.ดร.วิทย์ได้ในฉับพลัน ผู้ถูกกระทำส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดด้วยแรงบีบอย่างรุนแรงจากช่วงแขนของผู้บุกรุก แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่มีพละกำลังมหาศาลขนาดนั้นก็คือ “พี่โต” ชายวัยใกล้เกษียณที่หลังค่อมและดูอ่อนแอ แต่วินาทีนี้แกมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปรจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ดวงตาแดง หายใจหอบถี่ และมีน้ำลายไหลตามข้างแก้มเป็นทาง หรือจะเป็นเพราะฤทธิ์ยา

พี่โตเหวี่ยงเท้าไปเตะปุ่มใต้จอโปรเจ็กเตอร์ ไม่กี่วินาทีต่อมาผนังกระจกด้านตรงข้ามประตูก็ค่อยๆ เลื่อนออกไป จนห้องสี่เหลี่ยมนี้เหลือผนังอยู่เพียงสามด้าน ส่วนด้านที่เป็นกระจกเลื่อนนั้น เปิดโล่งออกรับลมที่โกรกเข้ามากระทบหน้าคนทั้งสามอย่างแรง พี่โตลาก ศ.ดร.วิทย์ถูลู่ถูกังไปกับพื้นห้อง จนสุดขอบด้านที่เปิดโล่ง บัดนี้ร่างของนักวิชาการชื่อดังได้ถูกพาดอยู่กับขอบปูนจนร่างกายส่วนบนห้อยต่องแต่งอย่างน่าหวาดเสียว

“มึงเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์” พี่โตตะโกนมาทางผม

“เร็วสิ กูรู้ว่ามึงเปิดเป็น เร็วเข้า ถ้าช้ากูฆ่าแม่งจริงๆ ด้วย” แกขู่ตะคอกเสียงดังไม่ปล่อยให้ผมตั้งตัว

พูดไม่ทันสิ้นเสียง ปากกระบอกปืนสีเงินก็โผล่ออกมาจากหลังมือของแก เสื้อแขนยาวที่เลิกขึ้นมาถึงข้อศอก เผยให้เห็นช่วงแขนที่เต็มไปด้วยน็อตและสายไฟโผล่ออกมา ผมเข้าใจถึงพลังแขนอันทรงพลังนั้น ทันทีที่เห็น มันมิได้มาจากเลือด เนื้อ เอ็น กระดูก เฉกเช่นมนุษย์เรา แต่มาจากเครื่องจักรกลนี่เอง ด้วยอาวุธชนิดนี้จึงทำให้ทราบว่าพี่โตคงเป็นทหารผ่านศึกในสมรภูมิเมืองพราย กรณีข้อพิพาทเรื่องดินแดนไทยกับสุวรรณประเทศ ที่นั่นเป็นดงแห่งความตาย มันมีกับระเบิดชุกชุม และรัฐบาลไทยปลอบใจทหารพิการด้วยแขนใหม่ทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลที่มีศักยภาพในการล่าสังหาร

“เร็วสิวะ ไม่ได้ยินกูรึไง” เสียงพี่โตกระแทกหูผมจนสะดุ้ง

ผมเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างช้าๆ เพื่อถ่วงเวลาสำหรับการคิดหาทางออก สถานการณ์ ตอนนี้ช่างน่าอึดอัดใจที่สุด เมื่อต้องเจรจากับคนที่ไม่รู้ว่าจะบ้าดีเดือดแค่ไหน

“มึงเปิดระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ แล้วเชื่อมต่อเข้ากับระบบส่วนกลาง เชื่อมเข้ากับทุกห้องเรียน ทุกวิทยาเขต ทุกมหาวิทยาลัย ทุกหน่วยงานราชการ และทำเนียบรัฐบาล จากนั้นก็ลิงก์ไปที่ศูนย์กลางการออกอากาศ แล้วปล่อยสัญญาณเผยแพร่”

เสียงอื้ออึงเริ่มดังเข้ามาในห้อง 1203 แสดงว่าคนที่พื้นดินคงออกมาเห็นเหตุการณ์แล้ว ข้างล่างนั้นน่าจะมีไทยมุงอยู่ไม่น้อยทีเดียว และเมื่อเซ็ตระบบเสร็จพี่โตก็ตะโกนก้องด้วยเสียงอันดังว่า

“ผมคือพลตรีวารีแห่งหน่วยกล้าตายประจำขบวนการปฏิวัติสุวรรณประเทศ เราต้องการให้รัฐบาลไทยปลดปล่อยดินแดนเมืองพรายให้คืนกลับมาสู่สุวรรณประเทศ ท่านต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ หากยังลังเล ท่านจะไม่มีโอกาสได้ตัดสินใจ ขบวนการปฏิวัติได้ติดตั้งระเบิดทำลายล้างสูงและระเบิดชีวภาพไว้ที่อาคารรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงกลาโหม ศูนย์การค้า และตามจุดสำคัญต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ 390 จุด ถ้าไม่เชื่อเราจะระเบิดให้ดูสักลูกสองลูกก็ได้ เราขอเรียกร้องให้…”

ผมรู้สึกปวดหัวและคอแห้งเหลือเกิน ทำไมผมต้องไปทุกข์ร้อนกับอาจารย์คนนี้ กับบ้านนี้เมืองนี้ก็ไม่รู้ ผมเหนื่อยและอยากออกไปจากที่นี่ ผมอึดอัดกับบรรยากาศแบบนี้ ตอนนี้มีเงาทาบอยู่นอกประตูกระจกมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่มายืนออกันเต็มหน้าห้อง ป่านนี้ข้างนอกต้องป่วนไปหมด คงกำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขบวนการปฏิวัติลงมือตามแผนการแล้ว ยากที่ใครจะตอบได้ควรทำเช่นใด

ผมอาศัยจังหวะเสี้ยววินาทีที่พี่โตเผลอ กระโจนไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว และเปิดประตูอ้า

“เฮ้ย อย่า! ถ้ามึงปิดประตูนั่น มหาวิทยาลัยนี้จะระเบิดเป็นจุดแรกในกรุงเทพฯ กลไกที่ตั้งไว้มันจะทำงานอัตโนมัติ อย่าปิดเด็ดขาด แต่ถ้าอยากตาย มึงก็ปิด”

แสงไฟสีแดงจากลูกบิดประตูฉายแสงวิบวับ มีเสียงดังเบาๆ ติ๊กๆๆ พี่โตคงส่งสัญญาณควบคุมระเบิดจากไอ้มือกลของแก ฉิบหายแล้วสิ ผมหยุดมือตัวเองทันใด วินาทีนี้ผมประมาทกับคำพูดของพวกบ้าเดนตายนี้ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้หยุดชะงักไปหมด

“มึงไม่เข้าใจไอ้ชิต กูไม่ได้บ้า รัฐบาลไทยหลอกกูมาเป็นทหารไทย พอกูโดนกับระเบิดจนพิการ มันก็ดัดแปลงจนกลายเป็นไซบอร์กบ้าอะไรก็ไม่รู้ มันจงใจให้กูไปโดนกับระเบิด เพื่อจะได้เป็นหุ่นสังหารไปฆ่าคนชาติเดียวกันเอง ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เอาดินแดนของพวกเราไป”

ท่ามกลางความวุ่นวายในห้อง 1203 สมองผมเบลอ บังเกิดภาพสงครามอันน่าสะพรึงกลัว แสงวูบวาบจากระเบิดสว่างไสว เสียงร้องโหยหวน เสียงดินระเบิดปะทุดังกัมปนาทไปทั่วฟ้า สงครามคืออะไร ก่อกำเนิดขึ้นจากไหน ด้วยเหตุใด ดำรงอยู่ทำไม เมื่อไรจึงสิ้นสุด เกิดขึ้นแล้วดับสูญ แล้วเกิดขึ้นแล้วดับสูญ เงื่อนปมที่แท้คืออะไร ใครจะเป็นผู้ตอบ พวกเรากำลังทำอะไร ใครจะเป็นผู้ตอบ …ใครจะเป็นผู้ตอบ…

“ไอ้ชิต ง้างประตูแล้วกลับเข้ามา มึงจะบ้าหรือไงไอ้ชิต”

ผมเบื่อโลกนี้เหลือเกิน ตอนนี้ผมฝันหรือตื่นกันเนี่ย ถ้าฝัน ผมขอให้ตื่นเสียทีเถอะ ผมเหนื่อย หรือว่าจะเป็นโลกวีอาร์วะ ผมภาวนาว่าขอให้เป็นโลกวีอาร์เถอะ ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมพอแล้ว ถ้าทุกอย่างมันจบ เกมจะโอเวอร์หรือเปล่านะ แต่อะไรๆ มันก็โคตรเหมือนจริงซะจนผมไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลย เมื่อราวๆ ตีสองผมได้เสพรสสวาทจากสวรรค์ซึ่งหอมหวนยวนใจเกินกว่าที่ผมจะเชื่อได้ว่าเป็นเรื่อง “ไม่จริง” หลังจากเธอไป ผมต้องทนทรมานกับความเปลี่ยวเหงาที่เกาะกุมหัวใจ จนถึงตอนนี้ ผมเครียด ผมทุกข์เหลือเกิน

ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นใด โลกนี้มีคำถามเป็นล้านๆ คำ แต่ไม่เห็นมีคำตอบเลยสักอย่างเดียว อะไรคือถูก อะไรคือผิด อะไรดี อะไรงาม อะไรจริง อะไรลวง อะไรคือรัก อะไรคือเกลียด อะไรคือสุข อะไรคือทุกข์ คำตอบทั้งหลายล่องลอยอยู่หนไหน จริงอยู่ที่ผมไม่รู้ว่าความรักคืออะไร แต่ตอนนี้ผมอยากจะบอกอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่เป็นความรู้สึกจากก้นบึ้งในจิตใจที่ผมมีต่อเธอ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หากต้องตั้งชื่อให้มันแล้วละก็ ผมยังไม่เห็นชื่อไหนจะเหมาะสมเท่ากับคำว่า “รัก”

ไม่ว่าเรื่องราวเบื้องหลัง “ประตู” บานนี้จะเป็นเช่นไร จะเป็นความฝัน เป็นเกม เป็นความจริงที่มีระเบิดสนั่นหวั่นไหว หรือเป็นความจริงที่สดใสสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด ผมหวังว่าคงมีโอกาสได้เจอกับเธอ บอกความรู้สึกนี้กับเธอ และอยู่เคียงข้างเธอ…

“ไอ้ชิต ง้างประตูแล้วกลับเข้ามา มึงจะบ้าหรือไงไอ้ชิต”

จอโปรเจ็กเตอร์สีฟ้าอ่อนปรากฏข้อความขนาดใหญ่สีแดงเลือดนก

“สมรภูมิที่แท้จริงอยู่ในใจ”

“ถ้าผมปิดประตู เกมจะโอเวอร์ไหมหนอ…”

“ถ้าผมปิดประตู เกมจะโอเวอร์ไหมหนอ…”

“ถ้าผมปิดประตู เกมจะโอเวอร์ไหมหนอ…”

……………

1……………2……………3……………

ปัง!