วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ : การชุมนุมประท้วงกับการแพร่กระจายของเชื้อโควิด

ประเทศไทยยังอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส SARS CoV 2 หรือเรียกสั้น ๆ ในที่นี้ว่าโควิด ถึงแม้ว่าไม่มีการระบาดมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็มีหลักฐานว่าน่าจะยังมีเชื้อหลงเหลืออยู่ในคนไทยอย่างน้อยก็ประปราย จากการตรวจพบเชื้อในดีเจคนหนึ่งที่ต้องโทษโดยเจ้าตัวรายงานว่าไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ และไม่ได้ติดต่อกับใครที่น่าสงสัยว่าติดเชื้อโควิดเลย ความรู้สึกเสี่ยงต่อการระบาดของโควิดมากขึ้น เมื่อมีการระบาดใหญ่ในประเทศสหภาพเมียนมา และสัปดาห์ที่แล้วก็มีผู้ป่วยไทยที่สัมผัสทางการค้าขายกับชายแดนกับเมียนมาในอำเภอแม่สอดตรวจพบเชื้อโดยบังเอิญ (ไม่มีอาการ) สองราย ในด้านการเมืองมีการเริ่มต้นชุมนุมประท้วงใหญ่ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2563 ต่อมามีการประท้วงที่ใหญ่กว่าและหลายจุดมากขึ้นในวันที่ 16 และ 17 ตุลาคม คาดว่าน่าจะมีการประท้วงอีกเป็นระยะ ๆ การประท้วงเหล่าตามมาด้วยการจับกุมแกนนำหลายสิบคนในต่างสถานที่และเวลา และมีการฉีดน้ำผสมสารเคมีสลายการชุมนุม ปัญหาทางระบาดวิทยา คือ การชุมนุมประท้วงเหล่านี้เป็น super-spreader events ไหม กล่าวคือจะทำให้เชื้อโควิดที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองไทยได้โอกาสแพร่กระจายอย่างรุนแรงไหม เรื่องนี้คงจะรู้คำตอบภายในสองสัปดาห์ข้างหน้านี้ เชื้อโควิดมีระยะฟักตัวเฉลี่ย 5-6 วัน อย่างนานส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 14 วัน การชุมนุมในวันแรกอาจจะยังไม่มีเชื้อในกลุ่มผู้ชุมนุม แต่เมื่อชุมนุมบ่อยเข้า จำนวนมากเข้าโอกาสที่จะมีเชื้อก็เพิ่มขึ้น ถ้าการชุมนุมประท้วงเป็น super-spreader event จริง การเพิ่มจากการชุมนุมระยะหลังก็จะทวีคูณเป็นพลุแตกเหมือนการแพร่กระจายจากสนามมวยกลางกรุงในการระบาดที่ผ่านมา เรายังไม่มีประสบการณ์ตรงว่าการชุมนุมประท้วงจะทำให้โควิดระบาดใหญ่หรือไม่ ตอนนี้ดูจากประสบการณ์การชุมนุมประท้วงขนาดใหญ่ของต่างประเทศไปก่อน ใกล้ ๆ บ้านเรา คือ ฮ่องกง มีการประท้วงก่อจลาจลก่อนโควิดระบาด แต่การประท้วงก็ลดลงเมื่อโควิดเริ่มระบาด ทางการกวาดล้างแกนนำได้สะดวกขึ้น จากการสอบสวนโรคไม่พบว่าการประท้วงและการก่อจลาจลนำมาซึ่งการระบาดของโควิด ขณะนี้ฮ่องกงยังคงมีโควิดระบาดเป็นคลื่นลูกที่สี่ไปแล้ว นักระบาดวิทยาสรุปว่าการระบาดเกือบทั้งหมดมาจากความหละหลวมของการกักตัวผู้เดินทางเข้าจากต่างประเทศ ทั้งกรณีที่ปล่อยให้กลาสีเรือข้ามชาติเข้าเที่ยวในเมือง และการกักตัวชาวต่างประเทศในเมืองที่หละหลวม ประเทศที่สองที่มีการระบาดรุนแรงกว่าฮ่องกง และมีการชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการประท้วงเรื่องที่ชาวผิวดำโดนตำรวจทำร้ายจนเสียชีวิต รายการนี้มีคุณหมอเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางว่าการชุมนุมประท้วงจะเพิ่มการแพร่กระจายของโควิดไหม แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปรวมกันว่าไม่ได้เป็นอย่างที่กล้วกัน เราคิดว่าไทยจะเป็นเหมือนฮ่องกงและอเมริกา คือ การชุมนุมประท้วงไม่มีผลต่อการแพร่กระจายของโควิด ผมคิดว่าไม่แน่เหมือนกันนะครับ อย่าเพิ่งวางใจ ลองคิดถึงทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายชุมนุม และ ฝ่ายรัฐบาล แล้วค่อยคิดต่อถึงคนที่อยู่บ้านและพวกคุณหมอนักระบาดวิทยาและหมอที่ดูแลผู้ป่วย ฝ่ายชุมนุมประท้วง ควรพิจารณาว่า ถ้าการชุมนุมของคุณตามมาด้วยการระบาดของโควิด พลังการชุมนุมของคุณจะอ่อนแอลงโดยปริยาย คนจะไปร่วมก็ไม่ค่อยกล้า นอกจากนี้รัฐบาลอาจจะถือโอกาสทับถมว่าพวกคุณทำให้โควิดระบาด ทำร้ายประเทศชาติ อือม์ จะทำอย่างไรดี เอางี้ก็แล้วกัน ระหว่างการชุมนุมประท้วงก็ระมัดระวังพฤติกรรมการแพร่กระจายซึ่งนักระบาดวิทยาไทยได้วิจัยแล้ว ถึงจะอยู่ใกล้คนที่มีเชื้อโควิด ถ้าคุณสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือทุกบ่อย และ ไม่อยู่ใกล้กันเกิน 1 เมตรเกิน 10 นาที ความเสี่ยงคุณจะลดลง 84% ถึงจะมีเชื้ออยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมบ้าง แต่ถ้ารักษาอนามัยดี ค่า R หรือ reproduction number ก็จะไม่สูงเกินไป ก็อาจจะมีโควิดเพิ่มขึ้นประปราย ไม่ใช่แตกกระจายเป็นยิงพลุ นอกเหนือจากผู้ชุมนุมช่วยกันลดความเสี่ยงแล้ว องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น และ กลุ่มแพทย์พยาบาลอาสา อาจจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิดได้อีกแรงหนึ่ง ถ้ามีการวัดไข้ผู้ชุมนุมที่อาการไม่ค่อยดี นอกจากนี้ถ้ากรุณาหาน้ำให้ผู้ชุมนุมล้างมือในเพียงพอ ใครที่มีไข้เกิน 37.5 C ต้องถอนตัวจากการชุมนุมทันที และรีบไปหาหมอหรือโรงพยาบาลที่สามารถทำแล็บตัวหาเชื้อโควิด แล้วส่งผลให้สหายผู้ใกล้ชิด ถ้าตรวจพบว่าผู้ป่วยมีเชื้อโควิด ทุกคนที่ใกล้ชิดต้องรายงานตัวกับสาธารณสุขประจำพื้นที่และต้องแยกตัวเองออกจากคนอื่นทั้งที่บ้าน ทำงาน และ สถานศึกษา ให้คนส่งข้าวส่งน้ำให้ และ ทำงานแบบ work from home เท่านั้นเป็นเวลา 14 วัน ส่วนผู้ป่วยโควิดก็ต้องเข้าไปแยกตัวอยู่โรงพยาบาลครับ ถ้าตรวจพบเร็ว แยกตัวเร็วการระบาดก็จะไม่กระจายมาก ฝ่ายรัฐบาลหรือกลุ่มที่มีหน้าที่จับกุม อย่าเพิ่งย่ามใจนะครับว่าไม่เป็นไร โควิดจะระบาดเฉพาะในกลุ่มผู้ชุมนุม พวกคุณคงจะปลอดภัย อย่าลืมประวัติศาสตร์เมื่อโควิดระบาดใหม่ ๆ ตัวทำเนียบรัฐบาลที่ทำการ ศบค. นั่นแหละครับที่โควิดเจาะเข้าไปจนกรรมการต้องประชุมทางไกลกันเป็นสัปดาห์ ถ้าประชาชนไม่ปลอดภัย คุณก็ไม่ปลอดภัยด้วย สำหรับการสลายการชุมนุม ต้องระวังการแพร่กระจายโควิดด้วย สารเคมีที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจรวมทั้งกลุ่มกำมะถันและแก๊สน้ำตา จะทำให้ไอ ทำให้เชื้อโควิดของคนที่ไม่มีอาการกระจายออกมาได้มากขึ้น ทางที่ดีแล้วอย่าใช้เลยครับ จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ คือ ที่จับกุมคุมขัง เรามีประสบการณ์การระบาดของกลุ่มตำรวจตรวจคนเข้าเมืองซึ่งติดเชื้ออีรุงตุงนังกับผู้ต้องขังที่หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเป็นบทเรียน น่าเสียดายที่บทเรียนราคาแพงนี้มาเลเซียไม่ได้เรียนจากเรา หลังจากกรณีระบาดในที่ต้องขังของเราไม่กี่สัปดาห์ มาเลเซียก็เผชิญกับการระบาดในกลุ่มผู้ต้องขังหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายเหมือน ๆ กันกับเรา ถ้ามีโควิดระบาดในที่กักขังแกนนำ มันจะลามไปถึงผู้ต้องขังคนอื่น และ เจ้าหน้าที่ของคุณด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณขังเดี่ยวสำหรับโทษทางการเมืองมันก็จะฟังดูโหดไปหน่อย ฝากกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ไปเยี่ยมแกนนำช่วยดูสภาพแล้วนำมาเล่าให้คุณหมอนักระบาดวิทยาของกระทรวงสาธารณสุขด้วยนะครับว่าเขาป้องกันดีแค่ไหน ถ้าโควิดระบาดในชุมชนหนัก ไม่ใช่ในที่ต้องขัง จะเป็นระฆังช่วยรัฐบาลหรือเปล่า บางคนอาจจะคิดว่าน่าจะให้รัฐบาลชุดนี้ปราบโควิดต่ออีกซักหน่อย เพราะที่ผ่านมาเขาทำได้ดี แต่เงื่อนไขที่ทำได้ดี คือ ประเทศมีความสามัคคีเหนียวแน่น ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนความสามัคคีจะหายไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าทั่วโลกเค้าจัดการเลือกตั้งได้โดยไม่ขึ้นกับสถานการณ์ของโควิด เราคงอิจฉานิวซีแลนด์มาก ๆ ที่ได้ผู้นำดี จัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติ คือ แผ่นดินไหว ภัยพิบัติจากการก่อการร้าย และภัยพิบัติจากโรคระบาดได้ดีหมด และได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกครั้งหนึ่งตามระบอบประชาธิปไตยด้วยความสง่างาม ไม่ใช่ทวงบุญคุณว่าฉันทำได้ดีเพราะฉะนั้นฉันจึงต้องอยู่ต่อโดยอัตโนมัติ ในสเปน เขาก็จัดเลือกตั้งทั้ง ๆ ที่โควิดกำลังระบาด ในอเมริกายิ่งแล้วใหญ่ คุณหมอชี้นำชาวบ้านทั่วประเทศว่าให้เลือกตั้ง(ชักโครก)เอานายทรัมพ์ออกไปซะ จะได้แก้ปัญหาโควิดได้ สำหรับไทยถึงแม้รัฐบาลเคยแก้ปัญหาโควิดได้ดีมาก การอยู่ต่อเป็นรัฐบาลยังมีมิติอื่น ๆ ที่ต้องแก้ไขอีกมากโดยเฉพาะการที่ประเทศขาดความสามัคคี ถ้าโควิดจะเป็นระฆังช่วย ก็ช่วยได้ไม่มากนะครับ ยิ่งถ้าทหารจะทำรัฐประหารเพราะโควิดยิ่งไม่มีเหตุผลใหญ่ เฮ้อ …. สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ทางบ้าน เวลาลูก ๆ กลับมาจากชุมนุม ต้องให้รีบล้างมือแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ ถ้ามีอุปกรณ์วัดไข้เองที่บ้านก็วัดทุกวันเข้าเย็น ไข้ขึ้นเมือไหร่ให้รีบพาไปหาหมอตรวจเชื้อโควิด ถ้าไม่มีไข้ก็ไม่ต้องไปตรวจให้เสียเงิน ถ้าคิดว่าลูก ๆ เสี่ยงสูงก็ควรอยู่ห่างกันเกิน 2 เมตร ตลอดเวลา ถ้าอยู่ใกล้กันคงต้องสวมหน้ากากอนามัย กินข้าวกินปลาไม่ต้องแยกกันก็ได้แต่อย่าอยู่ใกล้กัน การวิจัยของนักระบาดวิทยาไทยพบว่าการกินอาหารวงเดียวกันกับผู้ติดเชื้อไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ กินร้อนช้อนกลางก็ปลอดภัยแล้วครับ แต่เมื่อไรที่มีไข้และตรวจพบเชื้อ ที่ว่ามาทั้งหมดต้องเปลียนไปเป็นเข้มงวดทันทีนะครับ อีกกลุ่มที่เหลือ คือ คุณหมอที่ทำงานดูแลคนไข้ในชุมชนที่มีการชุมนุมจะทำอย่างไร คุณต้องเป็นแนวหลังที่ไว้ใจได้ของทุกฝ่าย ต้องให้ความรู้เน้นการป้องกันในกลุ่มชนทุกกลุ่ม การเฝ้าระวังที่ดีที่สุดในขณะนี้ คือ แต่ละคนเฝ้าระวังตัวเองและคนใกล้ชิด มีอะไรผิดสังเกต โดยเฉพาะเรื่องไข้และอาการทางเดินหายใจ รีบไปหาแพทย์ทันที ที่สถานพยาบาลทั้งคลินิกและโรงพยาบาล ต้องเข้มงวดเรื่อง respiratory triage (สำหรับคนทั่วไป คำนี้หมายความว่าเจ้าหน้าที่คนแรกที่พบผู้ป่วยหรือผู้มาสถานบริการต้องถามเขาว่ามีอาการไข้หรือทางเดินหายใจบ้างไหม ถ้ามีต้องจัดการตรวจร่างกายและเก็บตัวอย่างหาเชื้อในที่โล่งโดยบุคลากรสวมอุปกรณ์ป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ) อีกอย่างนึงที่สำคัญคุณหมอ คือ สุขภาพจิตและสุขภาพสังคมอันเกี่ยวกับโควิดและการชุมนุมประท้วง กลุ่มคนที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้ออาจจะมีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกับกลุ่มผู้ให้บริการ การสนทนาเรื่องการเมืองถ้าอยู่ฝ่ายเดียวกันก็จะถูกคอ สุขภาพจิตอาจจะดีขึ้น แต่ถ้าอยู่คนละฝ่ายสุขภาพจิตทั้งผู้รับและผู้ให้บริการอาจจะแย่ลง ระมัดระวังในเรื่องเหล่านี้ให้ดีนะครับ มีโควิดอย่างเดียวก็แย่มากแล้ว มีความวุ่นวายทางการเมืองยิ่งซ้ำเติมใหญ่ ยิ่งถ้าการชุมนุมนำไปสู่การระบาดยิ่งเป็นอภิมหาโศกนาฏกรรมทีเดียว ทฤษฎีมีอยู่ว่าความขัดแย้งที่แก้ไขไม่ถูกวิธีนำไปสู่การยกระดับความรุนแรง ระดับสูงสุดของความรุนแรงคือความต้องการให้มันล่มจมไปทุกฝ่าย เศรษฐกิจจะล่มจมอย่างไร โรคจะระบาดรุนแรงอย่างไรฉันไม่สนแล้ว นั่นแหละครับคือสุดยอดของโทสจริตหมู่ อย่าคิดว่ากรณีที่คนไทยจะโกรธจัดจนทำให้ชาติล่มจนเกิดไม่ได้นะครับ ในช่วงครึ่งศตวรรษนี้ นอกจากรัฐประหารให้ รปภ.กลายเป็น CEO แล้ว คนไทยที่เรารู้จักเคยร่วมกันปิดสนามบิน คนไทยส่วนหนึ่งเคยเผาบ้านเมือง ฆ่าหมู่กันกลางกรุงหลายระลอก ทุกครั้งตามด้วยบาดแผลร้าวลึกทางสังคมและเศรษฐกิจ ความไม่ไว้ใจกันเองและของชาวต่างประเทศ ถ้าไม่แก้ไขคราวนี้ท่าทางจะแย่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ขอพวกเราจงช่วยกันตัดวงจรอุบาทว์ของความรุนแรง และ ช่วยกันป้องกันไม่ให้ความรุนแรงซ้ำเติมความเสียหายจากโควิด มองไปมองมา เฉพาะหน้านี้ผมยังเห็นมีแต่ผู้นำระดับสูงเท่านั้นครับที่จะเสียสละระงับภาวะคุกคามนี้ได้ ส่วนแก้ปัญหานี้ได้จริงจังท่ามกลางความแตกแยกขนาดนี้นั้น น่าจะอยู่ที่ว่าทุกคนต้องยอมรับประชาธิปไตยด้วยความอดทนเท่านั้นครับ 18 ตุลาคม 2563