ศัลยา ประชาชาติ : ทีมเศรษฐกิจประยุทธ์ เร่งสปีด เปิดประเทศกระตุ้นช้อป-เที่ยว จัดยาแรง ลดภาษี จ้างงาน จ้างเรียน

เป็นเวลานานถึง 45 วันที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต้องตอบโจทย์พ่อค้า-นักธุรกิจ ว่าใครจะมาเป็น “ขุนคลังคนใหม่” แทนนายปรีดี ดาวฉาย ที่ “ดับแสง” ภายหลังนั่ง “เก้าอี้ รมว.คลัง” ได้เพียง 27 วัน

12 ตุลาคม 2563 “พล.อ.ประยุทธ์” เปิดตัว “ทีมเศรษฐกิจใหม่”

เปิดหน้า “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คลังคนใหม่ พร้อมกับประกาศเดินหน้าแผนเศรษฐกิจ-ผันเงินในกระเป๋าทุกระดับชั้น 2 แสนล้านบาท จำนวน 3 มาตรการ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายปลายปี 2563

 

มาตรการแรก โครงการ “เพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการรัฐ” จำนวน 14 ล้านคน รัฐบาลเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น 500 บาท/คน/เดือน จำนวน 3 เดือน (ตุลาคม-ธันวาคม 2563) งบประมาณ 21,000 ล้านบาท

มาตรการที่สอง โครงการ “คนละครึ่ง” จำนวน 10 ล้านคน รัฐบาลออกให้ 3,000 บาท (ประชาชนออกเอง 3,000 บาท) หรือไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2563 งบประมาณ 30,000 ล้านบาท

มาตรการที่สาม โครงการ “ช้อปดีมีคืน” จำนวน 3.7 ล้านคน สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการไม่เกิน 30,000 บาท สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2563 คาดว่าจะทำให้สูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี 14,000 ล้านบาท

โปรไฟล์โครงการ “ช้อปดีมีคืน” ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2563 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 111,000 ล้านบาท

รวม 3 มาตรการ เม็ดเงิน 200,000 ล้านบาทจะ “หมุนเศรษฐกิจ” ในช่วง “ไตรมาสสุดท้าย” ของปี 2563 ฉุดจีดีพีขึ้นมาร้อยละ 0.30

 

ยังไม่รวมมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” วงเงิน 20,000 ล้านบาท และโครงการ “กำลังใจ” วงเงิน 2,400 ล้านบาท ซึ่งขยายระยะเวลาโครงการไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564

โดยมี “ปัจจัยบวก” จากการ “เปิดประเทศ” รับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) เข้ามาพำนักระยะยาว (Long Stay) ในประเทศไทย 90 วัน และสามารถอยู่ต่อได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 90 วัน

เปิดรับนักท่องเที่ยวประเภท STV ได้ประมาณ 100 คนต่อเที่ยวบิน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ หรือ 1,200 คนต่อเดือน สามารถสร้างรายได้ 12,000 ล้านบาทต่อปี

ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แจ้งความประสงค์เดินทางเข้าประเทศไทยภายใต้ STV แบ่งเป็นเอเชียตะวันออก จำนวน 924 คน อาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ จำนวน 229 คน ยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง จำนวน 462 คน

ขณะที่มีนักท่องเที่ยวซึ่งสอบถามจำนวนเบื้องต้นจากภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง จำนวน 500 คน และจากภูมิภาคอเมริกา จำนวน 69 คน

โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ STV กลุ่มแรกจะเดินทางเข้าประเทศไทยในวันที่ 20 ตุลาคม 2563 จากเมืองกว่างโจว ประเทศจีน 120 คน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

กลุ่มที่สองหลังจากผ่านช่วงเทศกาลกินเจ ในวันที่ 26 ตุลาคม 2563 เป็นนักท่องเที่ยวจากเมืองกว่างโจว ประเทศจีนเช่นกัน 120 คน ลงที่สนามบินภูเก็ต

นอกจากนี้ ยังมีโครงการกระตุ้นการเดินทาง Workation Thailand “ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ” โดยเชิญชวนบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซื้อแพ็กเกจพร้อมสิทธิพิเศษ

โดยหน่วยงานเข้าร่วมโครงการจะได้รับของรางวัล Certificate และโล่ประกาศเกียรติคุณจาก “พล.อ.ประยุทธ์”

ทีมเศรษฐกิจประยุทธ์ชุดล่าสุดไม่มี “ฮันนีมูนพีเรียด” ต้องเร่งสปีด-ใส่เกียร์สุด หลังตัวเลขอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาส 2 “ติดลบ” ร้อยละ -12.2 ต่อจีดีพี

หนี้สาธารณะปี 2564 วงเงิน 1,465,438 ล้านบาท “ติดเพดาน” ร้อยละ 60 หรือร้อยละ 57.23 หนี้ครัวเรือน 13.48 ล้านบาท “ท่วมหัว” มนุษย์เงินเดือน-คนหาเช้ากินค่ำสูงสุดในรอบ 4 ปี

สวนทางกับการจัดเก็บรายได้ปี 2563 ที่ “ต่ำกว่าเป้า” การจัดเก็บภาษีในปี 2564 ให้เป็นไป “ตามเป้า” 2.68 ล้านล้านบาท จึงเป็น “ภารกิจเร่งด่วน” ของ “อาคม” ขุนคลังคนใหม่

วิกฤตเศรษฐกิจปี 2563 ผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เศรษฐกิจรากหญ้าล้มตาย-ยอดพีระมิดเข้าเนื้อ จากอาฟเตอร์ช็อก-มาตรการ “ยาแรง” ล็อกดาวน์-ปิดประเทศ

การจ้างงานลดลง-อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ตัวเลข “คนตกงาน” ไตรมาสสอง 750,000 คน สูงสุดในรอบ 11 ปี ขณะที่ “นักศึกษาจบใหม่” ปี 2563 จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน 520,000 คน

โดยมาตรการ “จ้างงานล้านตำแหน่ง” ของรัฐบาล โดย “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน จะปูพรมทั่วประเทศ ภายใต้แคมเปญ “Job Expo Thailand 2020” มีผู้เข้าร่วมงานทั่วประเทศ 125,383 คน

โดยมีสถานประกอบการที่มาออกบูธ 501 แห่ง มีตำแหน่งงาน 100,012 อัตรา ผู้สมัครงาน 143,066 คน และมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครงาน 57,226 อัตรา

เว็บไซต์ “ไทยมีงาน” ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2563 มีตำแหน่งงาน 733,633 อัตรา ผู้สมัครงาน 112,806 คน และมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครงานทั้งสิ้น 45,112 อัตรา

สำหรับมาตรการอุดหนุนการจ้างงานเด็กจบใหม่ มีตำแหน่งงานทั้งสิ้น 74,351 อัตรา มีผู้สมัครงานทั้งสิ้น 39,033 คน และมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครได้ทั้งสิ้น 31,876 อัตรา

รวมทุกมาตรการสามารถจับคู่ตำแหน่งงานได้ทั้งสิ้น 134,214 อัตรา

 

หลังเดือนตุลาคม 2563 เข้าสู่ช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” เพราะเป็นรอยต่อ-สิ้นสุดระยะเวลามาตรการ “พักชำระหนี้” ก้อนโต 7 ล้านล้านบาท จำนวน 13 ล้านราย

มาตรการ “แก้หนี้” ที่มีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็น “เจ้าภาพ” ภายใต้การกุมบังเหียนของ “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

ระยะแรก การเยียวยาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย SMEs Corporate ได้แก่ ลูกหนี้รายย่อย รวมมูลค่า 3.84 ล้านล้านบาท จำนวน 10.97 ล้านบัญชี

ลูกหนี้ SMEs รวมมูลค่า 2.14 ล้านล้านบาท จำนวน 1.12 ล้านบัญชี และลูกหนี้ corporates รวมมูลค่า 0.92 ล้านล้านบาท จำนวน 37,114 บัญชี

ระยะที่สอง สถาบันการเงินติดตามดูแลลูกหนี้ โดยให้ติดต่อลูกหนี้ไปเยี่ยมกิจการ เพื่อประเมินผลกระทบรวมทั้งจัดทำช่องทางให้ลูกหนี้แจ้งสถานะและความประสงค์ในการรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงโครงสร้างหนี้

และระยะที่สาม การเตรียมมาตรการรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะต่อไป โดยลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายรายสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ DR BIZ เป็นระบบ one stop service ให้ลูกหนี้ได้ติดต่อเจ้าหนี้เพื่อแก้ไขหนี้

ทั้งหมดนั้นคือภารกิจเร่งด่วนซึ่งทีมเศรษฐกิจ ครม.ประยุทธ์ 2/3 ที่มี “พล.อ.ประยุทธ์” เป็น “หัวหน้าเศรษฐกิจ” รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เดินมาถูกทางและปลุกชีพเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง