ผ่าคดี : ครูทำร้ายนร. ยาหม่องป้าย-ถุงดำคลุม แจ้งจับรูด‘ครูรร.ดัง’ เจ้าของโวย-อยากได้เงิน

ถือเป็นเรื่องที่สะเทือนวงการศึกษาเมืองไทยอย่างรุนแรง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนเอกชนชื่อดังที่มีสาขาทั่วประเทศ อย่างโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ที่ จ.นนทบุรี

ที่พบคลิปวิดีโอคนที่อ้างตัวว่าเป็นทีเชอร์ เป็นคุณครู ก่อเหตุทำร้ายร่างกายนักเรียนถี่ยิบ

ลงมือกับเด็กเล็กเพียงชั้นอนุบาลเท่านั้น

และไม่ใช่การลงมือด้วยบันดาลโทสะ แต่ตั้งใจมาทำร้าย เมื่อเด็กไปร้องขอความช่วยเหลือก็เฉยเมย ปล่อยผ่าน บางคนก็ร่วมทำร้าย

จนพบว่ามีครูนับสิบที่มีพฤติกรรมดังกล่าว

จนเด็กหวาดผวากันไปทั่ว

ทั้งที่เป็นโรงเรียนเอกชน เก็บค่าเทอมเป็นหมื่นเป็นแสน หวังคุณภาพชีวิตที่ดี แต่กลับต้องเผชิญกับกลุ่มคนที่จิตใจผิดปกติ

จึงเป็นเรื่องที่ต้องสังคายนาให้ชัดเจน หากผิดกฎระเบียบอย่างรุนแรง ก็ต้องดำเนินการ

ไม่ให้เป็นที่ฉกฉวยโอกาสทำร้ายเด็กที่ไร้เดียงสา

และต้องถูกดำเนินคดีอาญาด้วย

แจ้งจับครูอนุบาลทำร้ายเด็ก
เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อช่วงสายของวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยกลุ่มผู้ปกครองชั้นเด็กเล็ก โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ โรงเรียนเอกชนชื่อดัง ที่อยู่ในเครือโรงเรียนสารสาสน์วิเทศ ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ รวมตัวเข้าแจ้งความที่ สภ.ราชพฤกษ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

เพื่อเอาผิดครูจุ๋ม น.ส.อรอุมา ปลอดโปร่ง ครูพี่เลี้ยงระดับชั้นอนุบาล 1 ที่ทำร้ายนักเรียนในห้องที่ตัวเองดูแลหลายครั้งหลายหน โดยนายชาญวิทย์ อายุ 37 ปี ผู้ปกครองเด็กที่ถูกทำร้าย ระบุว่า ส่งลูกมาโรงเรียนดังกล่าว ต่อมาลูกบอกว่าถูกตีหลายครั้ง จึงพยายามถามว่าถูกตีเพราะอะไร จนทราบว่าถูกตีที่หลัง หยิกที่หู จึงไปคุยกับหัวหน้าระดับอนุบาล จึงพามาดูกล้องวงจรปิดที่จับภาพเหตุการณ์ภายในห้อง ก็เห็นภาพที่ครูจุ๋ม ดึงหูกระชากลูกด้วยความรุนแรง ไม่เพียงแค่นั้นยังทำรุนแรงต่อเด็กคนอื่นๆ ใช้มือกดหัวไว้ที่โต๊ะ แม้กระทั่งผลักเด็กอนุบาลหญิงลงไปกองกับพื้น

โดยเป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ ผ่านมา

เมื่อรับทราบข้อมูลและได้ประสานกับผู้ปกครองท่านอื่นๆ ก็ต้องช็อกกับข้อมูลที่ได้รับ ว่าที่แท้ ครูจุ๋มยังลงมือทำร้ายนักเรียนอีกหลายต่อหลายคน และไม่ใช่แค่ครูจุ๋มเท่านั้น ยังมีครูอีกหลายคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ทั้งครูประจำชั้น ครูพี่เลี้ยง และครูต่างชาติที่มาสอนภาษา

ผู้ปกครองบางคนระบุว่าเวลาไปรับลูกกลับยังไม่ถึงบ้านก็ต้องแวะปั๊มน้ำมันเข้าห้องน้ำ เวลารับประทานอาหารเย็นก็หิวโซ เหมือนไม่ได้กินอะไรมา

เด็กบางคนหวาดผวาไม่กล้าไปโรงเรียน บางคนนอนหลับอยู่ก็ละเมอร้องไห้ พอรู้ว่าวันไหนต้องไปโรงเรียนก็จะซึมเศร้า ถ้าวันไหนหยุดก็จะดีใจจนออกนอกหน้า

จนกระทั่งตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดจึงพบว่าเด็กถูกทำร้าย และไม่ใช่แค่วันเดียว แต่เป็นประจำ ทุกวัน ในจังหวะเวลาที่ครูมีโอกาส และไม่ใช่แค่คนเดียวที่ลงมือทำร้ายเด็ก

ที่สำคัญครูที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย กลับเฉยเมย ไม่สนใจ เหมือนว่าคุ้นชินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

จึงต้องพึ่งกฎหมายเข้าดำเนินคดี

ตะลึงยาหม่องป้าย-ถุงดำคลุม

หลังเป็นเรื่องราวอื้อฉาวดึงดูดความสนใจของคนทั่วประเทศว่าจะมีผลสรุปออกมาอย่างไร พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ระบุว่าหลังรับแจ้งความได้แจ้งข้อหา น.ส.อรอุมา หรือครูจุ๋ม ในข้อหาทำร้ายผู้อื่นและความผิดตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก โดยจะแยกดำเนินคดีกับครูจุ๋ม 8 คดี ต่างกรรมต่างวาระกัน

นอกจากนี้ยังจะแจ้งข้อหาดำเนินคดีครูในห้องเรียนอีก 3 คน ที่ละเว้นเพิกเฉยไม่กระทำการใดๆ ตามกฎหมายอาญามาตรา 374

ขณะที่นายมาร์วิน ลิวานัก โอเรโฮล่า อายุ 25 ปี ชาวฟิลิปปินส์ ครูอีกคนในห้อง ที่พบพฤติกรรมลากนักเรียนไปขังไว้ในห้องน้ำ เบื้องต้นถูกดำเนินคดีฐานเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะวีซ่าท่องเที่ยวที่ใช้หมดอายุ และไม่มีใบอนุญาตทำงาน โดยนายมาร์วินระบุว่าเป็นครูทดลองงานเมื่อก.ค.2563 หลังโควิด-19 จึงไม่สามารถกลับประเทศได้ ส่วนเรื่องการทำร้ายนักเรียน เคยถามครูจุ๋มแล้วว่าทำอย่างนี้ไม่มีปัญหาเหรอ ครูจุ๋มบอกทำได้ เป็นระบบของโรงเรียนไทย เลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก

จากนั้นวันที่ 29 ก.ย. น.ส.อรอุมา และนางภมรลักษณ์ (ขอสงวนนามสกุล) หรือครูเปิ้ล ครูประจำชั้น เข้ามอบตัว กับพนักงานสอบสวนคุมตัวฝากขัง ศาลให้ประกันโดยกำหนดวงเงินคนละ 6 หมื่นบาท ขณะที่ครูศิลปะอีกคนที่ถูกแจ้งข้อหา ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน

ทั้งนี้จากการตรวจสอบจากวงจรปิด พบว่าครูจุ๋มทำร้ายเด็กต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 21 ก.ย. ทำร้ายเด็ก 7 ครั้ง วันที่ 22 ก.ย. 2 ครั้ง และวันที่ 23 ก.ย. ก่อเหตุถึง 15 ครั้ง

แถมยังพบพฤติกรรมครูถึง 11 คน ประกอบด้วย ครูจุ๋ม ครูนิ ครูเปิ้ล ครูมาร์วิน ครูเจี๊ยบ ครูบลู ครูเดนโล่ ครูน้อยหน่า ครูอิ้ว ครูแพร และครูแพรว ที่เคยลงมือทำร้ายนักเรียน

และยังพบว่าไม่ใช่การลงโทษตามปกติ แต่เป็นการทำร้ายร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้มือกดไปที่หัว ทุบท้อง ทำโทษเมื่อเด็กขอไปห้องน้ำ จนเด็กต้องกลั้นปัสสาวะ ไม่กล้าดื่มน้ำ ใช้ยาหม่องป้ายที่ตา ใช้ถุงดำคลุมหัว และมีการทำโทษด้วยการตี!!

จนสงสัยว่าสถานที่นี้เป็นโรงเรียนจริงๆ ใช่หรือไม่!??

ขณะที่นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการมอบหมายให้คุรุสภาดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้บริหารโรงเรียน และครูที่เกี่ยวข้อง หากการตรวจสอบของคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) พบว่าครูผู้สอน ครูพี่เลี้ยง ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด

พร้อมกำหนดมาตรการเยียวยาที่เป็นธรรมให้กับเด็กและผู้ปกครอง

เจ้าของร.ร.โวยแค่อยากได้เงิน
แต่แทนที่เรื่องราวจะดำเนินการไปตามครรลอง คนผิดก็ว่ากันไปตามผิด เรื่องกลับรุนแรงบานปลายเหมือนกับสาดน้ำมันเข้ากองไฟ

โดยนายพิบูลย์ ยงค์กมล ประธานอำนวยการโรงเรียนในเครือสารสาสน์ เปิดใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมา ขอโทษกับทางผู้ปกครองไปแล้ว ยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของโรงเรียนจริง และไล่ออกผู้บริหารของโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์แล้ว ตอนนี้ก็ได้ผู้บริหารชุดใหม่มาบริหารแล้ว ส่วนผู้บริหารชุดเก่าและครูที่ทำร้ายลูกศิษย์ ซึ่งเป็นคนที่ทำให้ทุกอย่างเสียไปหมด โรงเรียนเสียชื่อเสียง ตนเสียชื่อเสียงด้วย เป็นเพราะครูบ้าๆ บอๆ

โรงเรียนพร้อมแก้ไข อะไรเสียหายจะชดใช้ให้ตามความเป็นจริง คนที่มีประสบการณ์ที่ไม่ดี ก็ต้องหาหมอเยียวยา ส่วนคนที่อยากจะออก ก็คืนค่าเทอมให้ หากไปหาหมอก็ให้เอาใบรับรองแพทย์มาเบิกค่าใช้จ่ายได้ แล้วก็ไปหาโรงเรียนใหม่ ส่วน ผู้ปกครองที่ไม่เห็นด้วยกับการคืนค่าเทอม ก็ต้องให้ลูกเรียนต่อ

แต่ผู้ปกครองที่ใส่เสื้อแดง เขาไม่ได้มาดี มาโวยวาย แบบนี้เขาเรียกว่าคนไม่มีค่า มันผิดวิสัย ผู้ปกครองที่ดีเขาไม่ทำกันแบบนี้ อยู่ๆ มารวมหัวกัน เรียกร้องเอานู่นเอานี่ สรุปแล้วก็เรียกร้องจะเอาเงิน มีผู้ปกครองบางรายเรียกร้อง 2 ล้านบาท มันเป็นไปไม่ได้

เราขอโทษไปหมดแล้ว แต่เขาไม่ฟังเสียง มาเรียกร้องแบบเพ้อเจ้อ ฟังได้อย่างหนึ่งคือ ลูกนอนละเมอ ซึ่งมันก็เป็นของธรรมดา เมื่อเจอแบบนี้มันก็ต้องเยียวยากันไป จะมาเรียกร้องจากการละเมอเหรอ

พร้อมยังระบุในการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับรายการข่าว ยอมรับว่ามีครูหลายคนไม่มีใบอนุญาต ก็ผ่อนผันกันไป เหมือนตนที่สอนมาตั้งแต่อายุ 18 ปี ก็ไม่มีใบอนุญาต แต่ตอนนี้ไม่สอนแล้ว

และระบุว่าการคัดเลือกครู จะเลือกที่หน้าตาก่อน พร้อมให้ไปขูดหินปูนฟรี เพราะมีคลินิกในเครือ

กระทั่งนายพิสุทธิ์ ยงค์กมล ลูกชายนายพิบูลย์ ผู้แทนรับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน ต้องออกมากล่าวขอโทษและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกรณีที่ไม่มีความรู้ประสบการณ์ การตัดสินใจเลยอาจจะ ล่าช้า

รวมทั้งกรณีที่นายพิบูลย์ให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่สร้างความไม่พอใจให้สังคม น่าจะเป็นการสื่อสารผิดพลาด เพราะเป็นครูมาทั้งชีวิต 70 ปี มีเจตนาที่บริสุทธิ์

ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหา ไม่เช่นนั้นรากฐานที่สร้างมา คงพังทลายอย่างไม่มีชิ้นดี

แต่ก็คงไม่สำคัญเท่ากับอนาคตของเด็กที่ถูกทำลายในเงื้อมมือของคนที่เรียกตัวเองว่าครู