ชายตาหาข้าวเปลือก : This too shall pass

กาละแมร์ พัชรศรี twitter :@kalamare

ฉันเชื่อเสมอว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างกับเรา มันนำมาซึ่งอีกอย่างเสมอ

และทุกครั้งที่ชีวิตมีเรื่องทุกข์ใจ ฉันรู้เสมอว่า เรากำลังจะเติบโตขึ้นไปอีก

จากเหตุการณ์ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่พิธีกรของฉันเมื่อคราวนักร้องเกาหลีมาในช่วงเดือนที่แล้ว ได้มอบบทเรียน การเรียนรู้ ความเข้มแข็ง และเข้าใจในสัจธรรมชีวิตมากขึ้น

เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ฉันรู้เลยว่าฉันต้องได้อะไรจากเรื่องนี้ ปล่อยให้เวลาได้ทำงานและความคิดได้ตกผลึก ฉันมีหน้าที่ทำทุกเวลา นาทีให้ดี มีความสุข

และโฟกัสอยู่กับปัจจุบันขณะจิตเท่านั้น

 

เมื่อรู้ว่าถูกด่าอย่างมากมายจากเหล่าแฟนๆ เกาหลี ฉันมาคิดทบทวนว่าเราทำไม่ดีตรงไหนบ้าง

เรารู้ตัวเสมอว่าเราไม่มีเจตนาลบอะไรต่อใครเลย

ต้องการให้ทุกคนมีความสุข สนุกสนาน

แต่เราไม่รู้หรอกว่า มันอาจจะไม่ถูกใจใครบ้าง และเขามีความรู้สึกอย่างไร แต่เมื่อรู้แล้วว่าเขาไม่พอใจ เขาโกรธ เขาเสียใจ เช้าวันรุ่งขึ้นฉันจึงลงถ้อยคำขอโทษจากใจที่ฉันอาจพูดอะไรออกไปแล้วทำให้เขารู้สึกไม่ดี

เพราะฉันก็รู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน

การวิพากษ์วิจารณ์ในงานที่ทำเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอในชีวิตของฉัน

ตั้งแต่ทำงานปีแรกผ่านมา 20 ปีมันยังคงอยู่เคียงคู่อาชีพการงานฉันเสมอ

สิ่งที่ฉันต้องเข้าใจธรรมชาติของงานคือมีคนชอบ ก็มีคนไม่ชอบ

มีคนถูกใจก็ย่อมมีคนไม่ถูกใจ

อีกสิ่งที่เรียนรู้เสมอจากความสุข ความทุกข์ที่สลับกันเข้ามาในชีวิตก็คือ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

เราเคยทุกข์กว่านี้ มันก็ผ่านไป

เราเคยมีความสุขสุดๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

ไม่มีอะไรอยู่กับเราเสมอและตลอดไป

สิ่งที่อยู่กับเราคือ “สติ” เพื่ออยู่กับปัจจุบัน

 

เมื่อเรารู้ว่าทุกอย่างจะผ่านไป สิ่งที่เราต้องทำคือทีท่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่มันจะผ่านไปต่างหากที่สำคัญ

ถ้าเราเลือกที่จะซึมเศร้าเหงารัก กอดเข่าเจ่าจุก นั่งเบื่อๆ เซ็งๆ และคิดวนเวียนอยู่ในอ่างว่าทำไมต้องเป็นเรา

ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้

แล้วนั่งคิดซ้ำๆ แต่เรื่องในอดีตที่ผ่านมา และมโนเรื่องในอนาคตว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือเปล่า

มันไม่มีใครได้ประโยชน์จากสิ่งนี้เลย

เพียงแต่เราต้องรู้มันให้ทันไม่ปล่อยให้ความคิดไหลไปเรื่อยๆ

สิ่งที่จะทำให้เรารู้เท่าทันคือ “สติ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝึกกันได้

 

นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ 1 ในศีล 5 ข้อคือ ห้ามดื่มสุรา เพราะมันจะทำให้เราขาดสติ

เพราะมีหลายคนและรวมถึงฉันเมื่อก่อนเคยสงสัยว่า ถ้าเรากินเหล้าแต่เราไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน เราบาปหรือเปล่า

มาวันนี้ได้คำตอบแล้วว่า มันจะทำให้เราขาดสติ

เมื่อเราขาดสติ ถึงแม้ว่าเราจะกินเหล้าอยู่คนเดียวในบ้าน ไม่ได้พูดด่าใคร หรือลงมือทำร้ายใคร แต่เราก็ไม่มีสติรู้ทันความคิดตัวเอง

และมันจะนำมาซึ่งการทำบาปกับตัวเอง นั่นเองที่ดำเนินชีวิตอย่างไร้สติในช่วงเวลานั้น

เราอาจคิดสั้น ทำอะไรไม่เข้าท่า โทร.หาแฟนเก่า แก้ผ้าถ่ายคลิป หรือแม้แต่นั่งร้องไห้ฟูมฟายแบบไร้สติ และเพื่อตื่นสายในอีกวันและแฮงก์ไปอีกครึ่งวันด้วยสภาพเหมือนตายทั้งเป็น

การฝึกสติในทุกวันที่ผ่านมาจึงช่วยชีวิตฉันได้เป็นอย่างดี

มาถึงวันนี้ฉันจึงเข้าใจแล้วว่า การหลับตานั่งดูลมหายใจ หรือการเดินช้าๆ เพื่อให้ทันการเคลื่อนไหวของร่างกาย เราทำเพื่ออะไร เพราะเมื่อเราทำ “สมาธิ” เราก็จะเกิด “สติ”

เมื่อเรามีสติ เราจะนิ่งเพื่อคิดแล้วเราจะเกิด “ปัญญา” รู้ว่าเหตุการณ์แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น เราจะผ่านมันไปได้ด้วยวิธีไหน

ปัญญาจะมีได้นั้นเราสามารถใฝ่หามันเสมอ จะอ่านหนังสือ ฟังธรรม ฟังผู้รู้ ใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์ เราไม่รู้หรอกว่าความรู้หรือปัญญามันจะถูกเอามาใช้วันไหน

มันเหมือนคลังปัญญาที่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักในสมอง เมื่อวันใด “สติมาปัญญาก็เกิด”

 

วันก่อนได้ไปฟังธรรมจากพระอาจารย์ตั๋น วัดบุญญาวาส จ.ชลบุรี

พระอาจารย์เทศน์เรื่องคำนินทา

ท่านบอกว่ามันคือเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าใครก็หลีกหนีไม่พ้น

ขนาดพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทำดีแค่ไหนก็ยังหนีไม่พ้น

เราไม่สามารถทำอะไรถูกใจคนได้ทุกคน เพราะแต่ละคนมีจริตที่ต่างกัน เรารับรู้ เรียนรู้แล้วก็ปล่อยวาง

สิ่งที่ฉันเลือกทำก็คือ ทำหน้าที่ของตัวเอง ณ ปัจจุบันขณะอย่างดีที่สุด ไปทำบุญ กินของอร่อย เล่นกับเพื่อน เจอครอบครัว ทำงานอดิเรกที่ชอบ ออกกำลังกาย ทำกับข้าวแบ่งปันความรู้ให้ผู้คนผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ และคิดถึงเป้าหมายในชีวิตที่จะทำต่อไป ดูสิมีเรื่องให้เราต้องคิดและลงมือทำมากมาย แทนที่เราจะไปนั่งเน่าแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เฉยๆ

และในเรื่องร้ายนี้ก็ทำให้เราเห็นแง่งามของคนรอบตัวที่มีความรู้สึกดีๆ ต่อเรามากมาย ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ส่งกำลังใจและความห่วงใยมาถึง

ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวยืดสัก 5 เซนต์ โตขึ้นอีกนิดแล้วนะตะเอง!