เผยแพร่ |
---|
การเคลื่อนไหวทางการเมืองในยุค”เยาวชนปลดแอก”กำลังให้บทเรียนอย่างแหลมคมยิ่ง ไม่เพียงแต่ต่อคนรุ่นใหม่ หากแต่ยังต่อคนรุ่นก่อน
หากพูดตามแนวคิดในแบบ”เหมาอิสม์”ที่ว่า คนแต่ละคน แต่ละชนชั้นล้วนมีเจตจำนงในทางอัตวิสัยของตน
และต้องการดัดแปลงโลกไปตามความต้องการของตน
ก็จะเข้าใจในการปรากฏขึ้นของ “นักเรียนเลว” ก็จะเข้าใจในการปรากฏขึ้นของ “ผู้หญิงปลดแอก” ก็จะเข้าใจการปรากฏขึ้นของ “สุราปลดแอก”
จึงเกิดคำถามขึ้นจากผู้มีความจัดเจนทางการเมืองซึ่งผ่านประสบการณ์เดือนตุลาคม 2516 ผ่านประสบการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ว่า
ทำไมจึงไม่เหลาประเด็นและข้อเรียกร้องให้มีเอกภาพและแหลมคมให้เป็นหนึ่งเดียว
หากดำเนินไปอย่างสะเปะสะปะก็จะไม่มีเอกภาพ ไร้พลัง
แท้จริงแล้ว ไม่ว่าประเด็นของ”นักเรียนเลว” ไม่ว่าประเด็นของ”ผู้หญิงปลดแอก” ไม่ว่าประเด็นของ”สุราปลดแอก” แม้ว่าจะดำเนิน ไปอย่างแยกส่วน แต่เอาเข้าจริงๆก็มีมูลเชื้อจากที่เดียวกัน
นั่นก็คือ มูลเชื้อจากความเป็น”รัฐราชการรวมศูนย์” จากความ เป็น “เผด็จการ”
รัฐราชการรวมศูนย์อันเป็นมรดกตั้งแต่ยุคปฏิรูประบบราชการครั้งแรกในปี 2434 โดยที่แม้จะผ่านสถานการณ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2475 ก็มิได้มีการปรับเปลี่ยน
ขณะเดียวกัน ความเป็นเผด็จการที่ดำรงอยู่นอกเหนือจากการอนุรักษ์”รัฐราชการรวมศูนย์”อย่างยิ่งยวดแล้ว ยังเนื่องจากการได้มา ซึ่งอำนาจเป็นกรรมวิธีในแบบ”รัฐประหาร”
เมื่อกระบวนการ”รัฐประหาร”ประสานเข้ากับความเป็น”รัฐราช การรวมศูนย์”มาถึงเวลาหนึ่งปัญหาจึงปรากฏแทบทุกหย่อมย่าน
ไม่ว่าของนักเรียน ไม่ว่าของผู้หญิง ไม่ว่าผู้ชมชอบในสุรา
แท้จริงแล้ว ปัญหาอย่างที่ปรากฏในเดือนตุลาคม 2563 มิได้เป็นเรื่องใหม่ หากแต่ดำรงอยู่อย่างเป็นด้านรองและไม่เคยมีใครให้ความ สนใจอย่างจริงจัง
ต่อเมื่อมาถึงยุคแห่ง”เยาวชนปลดแอก”จึงได้เปรี้ยงขึ้นมา
ใครก็ตาม กลุ่มใดก็ตามที่สามารถผนึกพลังอันหลากหลายและสำแดงพลานุภาพได้ก็ต้องได้รับคำชมเชยอย่างจริงใจ
ไม่ว่าในเดือนกรกฎาคม ไม่ว่าในเดือนตุลาคม