หนุ่มเมืองจันท์ | “หมา” และ “เมล็ดพันธุ์”

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันก่อน ได้สัมภาษณ์ “พี่เตา” บรรยง พงษ์พานิช บนเวทีพร้อมกับ “โจ้” ธนา เธียรอัจฉริยะ

สนุกมาก

ถามอะไร ตอบหมด

ผมเป็นคนที่ติดตามเฟซบุ๊กของ “พี่เตา” มาตลอด

บทสัมภาษณ์ก็ชอบอ่าน

ความรอบรู้ ความคมคายไม่แพ้คุณอานันท์ ปันยารชุน

แต่ “ฝีปาก” จัดจ้านกว่า

“พี่เตา” อ้างว่าเพราะเขาเป็น “คนใต้” ชอบกินรสจัด

สำนวนภาษาก็เลยเผ็ดตาม

เราคุยกันเรื่อง Crisis Management

“พี่เตา” เล่าประสบการณ์หนึ่งเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อน

ตอนที่ตลาดหุ้นไทยยังใช้การเคาะกระดานกันอยู่ ยังไม่ได้ใช้ระบบการซื้อขายผ่านคอมพิวเตอร์อย่างสมบูรณ์แบบวันนี้

พนักงานบริษัทหลักทรัพย์ของ “พี่เตา” เคาะตัวเลขการขายหุ้นของบริษัทหนึ่งผิด

จาก 20,000 หุ้น เป็น 20 ล้านหุ้น

ทั้งที่หุ้นบริษัทนี้มีแค่ 13 ล้านหุ้น

ถ้าใครอยู่ในวงการก็รู้ว่าเคาะผิด

แต่ทุกคนรุมซื้อหมด

เมื่อตั้งขายหุ้นไปแล้ว มีคนซื้อ ก็ถือว่าการซื้อ-ขายหุ้นตัวนี้เรียบร้อย

ปัญหาก็คือว่า จะเอาหุ้นไหนไปให้คนซื้อในอีก 2 วันข้างหน้า

เพราะหุ้นในมือก็มีแค่ 20,000 หุ้น

ถ้าต้องหาหุ้นทั้งหมดมาให้หรือจ่ายค่าเสียหาย

บริษัทหลักทรัพย์นี้ก็ล้มละลายเลย

วิกฤตขนาดนั้น

“พี่เตา” ได้รับคำสั่งให้เป็นผู้บัญชาการแก้วิกฤตนี้

สิ่งแรกที่เขาทำก็คือ โทรศัพท์ไปหาสำนักงานกฎหมาย 2 แห่งที่บริษัทใช้งานอยู่

ให้ส่งนักกฎหมายมือดีที่สุดมาที่บริษัท

“พี่เตา” ยิงคำถามตรงเลย

“มีทางไหนที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้”

นักกฎหมายคนหนึ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายหน้า

“แก้ไม่ได้ครับ เพราะ…”

ยังไม่ทันอธิบาย “พี่เตา” ก็ใส่เลย

เป็นภาษา “เผ็ด-เผ็ด” ตามสไตล์ แต่ขอแปลงสารให้เป็นอาหารภาคกลางที่หวานนำ

“ผมไม่ได้ถามว่าจะแก้ได้หรือไม่ได้ แต่ถามว่าจะแก้อย่างไร”

“พี่เตา” บอกว่าให้คิดทางเดียวคือแก้อย่างไร

“ถ้าถึงขั้นต้องให้ผมไปหานายกฯ ไปแก้รัฐธรรมนูญก็บอกมา แต่อย่าบอกว่าไม่ได้”

ผมได้บทเรียนแรกของการแก้วิกฤต

เมื่อ “วิกฤต” เกิดขึ้นแล้ว

“เวลา” ในการตัดสินใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ทางเลือกจึงมีทางเดียว

…จะแก้อย่างไร

ไม่ใช่ “แก้ได้” หรือ “ไม่ได้”

อย่าเสียเวลากับคำอธิบายว่า “แก้ไม่ได้”

วิกฤตครั้งนี้มีทางแก้ไขอย่างเดียว คือ ต้องให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประชุมและประกาศว่าเกิดความผิดพลาด

ยกเลิกการซื้อ-ขายล็อตนี้

ทั้งหมดต้องเกิดขึ้นภายในวันนี้

“พี่เตา” รีบไปหาคุณเสรี จินตนเสรี ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ

ตอนนั้นเป็นช่วงเที่ยง

เลขาฯ บอกว่าคุณเสรีไปกินข้าว

“พี่เตา” บอกว่าเรื่องนี้ใหญ่มากต้องคุยกับคุณเสรีตอนนี้ เขาไปหาที่ร้านอาหารก็ได้

ถามว่าคุณเสรีกินข้าวที่ร้านไหน

เลขาฯ ไม่ยอมบอก

“พี่เตา” คุกเข่าแล้วบอกว่าถ้าไม่บอก เขาจะกราบเท้าเลขาฯ ตอนนี้เลย

เลขาฯ จึงยอมบอก

พอไปถึงร้านอาหาร เขาเล่าเรื่องให้คุณเสรีฟัง และขอให้ช่วยเรียกประชุมกรรมการช่วงบ่ายนี้

คุณเสรีก็บอกว่าเรียกประชุมกะทันหันแบบนี้ไม่ได้ ต้องนัดล่วงหน้า

…เหมือนเดิมครับ

“พี่เตา” คุกเข่าแล้วใช้ประโยคเดิม

“ถ้าท่านไม่ช่วย ผมจะกราบเท้าท่านตอนนี้เลย”

เจอแบบนี้เข้า คุณเสรีจึงตัดสินใจเรียกประชุมกรรมการด่วน

คุณวิโรจน์ นวลแข เจ้านาย “พี่เตา” ก็ช่วยโทรศัพท์ล็อบบี้เจ้าของโบรกเกอร์รายใหญ่ให้มาประชุมด้วยตัวเอง

ในที่สุด ที่ประชุมก็มีมติยกเลิกการซื้อ-ขายหุ้นล็อตนี้อย่างเป็นเอกฉันท์

“พี่เตา” ได้บทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้

“ยามที่ต้องเป็นหมา มึงต้องเป็นหมา”

ผมชอบประโยคนี้มาก

บริษัทจะเจ๊ง คนที่เรารักจะตาย ลูกป่วยหนัก ฯลฯ

ในยามวิกฤต เลิกคิดไปเลยว่าเราเป็นใคร

ยิ่งใหญ่มาจากไหน

อย่ามัวคิดถึงศักดิ์ศรีอะไรทั้งสิ้น

ถ้าจำเป็นต้องขอร้องใครก็ต้องทำ

จะต้องคุกเข่ากราบใครก็ต้องกราบ

เหมือนกับเราเป็น “หมา” ตัวหนึ่ง

เวลาที่ต้องเป็น “หมา”

ก็ต้องเป็น “หมา”

จากบทเรียนนี้ผมนึกถึงภาษิตเม็กซิกันบทหนึ่ง

“พวกเขาพยายามจะกลบฝังเราให้จมดิน โดยหารู้ไม่ว่า เรานั้นคือเมล็ดพันธุ์”

เรื่องราวในชีวิตเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ไม่มีใครชนะทุกครั้ง

ต้องมีบางครั้งที่เราพ่ายแพ้

ในวันที่เราสู้ไม่ได้ ให้ยอมรับความจริง

ใครมากระทำย่ำยีเราก็ให้อดทน

และรอคอย

“ร่างกาย” อาจโดนเหยียบย่ำดูถูก

แต่ต้องรักษา “จิตใจ” ของเราเอาไว้เหมือน “เมล็ดพันธุ์”

ถูกย่ำจนจมดิน

แต่ “เมล็ดพันธุ์” จะไม่ตาย

รอแค่ฝนแรกโปรยปรายลงมา

เราจะงอกงามขึ้นมาอีกครั้ง