ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ชังชาติคือวาทกรรมลวงโลกหมดอายุของเผด็จการชังประชาชน

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เข้าเดือนที่สองแล้วที่การต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับผด็จการยกใหม่เริ่มต้นจากขบวนการ “ปลดแอก” ในวันที่ 18 กรกฎาคม และถึงแม้ระยะเวลาเพียงสองเดือนจะสั้นมากเมื่อเทียบระบอบประยุทธ์ที่ครองอำนาจถึง 6 ปีครึ่ง แต่ผลสะเทือนที่ความเคลื่อนไหวนี้มีต่อสังคมไทยกลับมากเหลือเกิน

รัฐธรรมนูญ 2560 คือกฎหมายที่เขียนโดยระบอบประยุทธ์เพื่อให้ระบอบประยุทธ์ปกครองประเทศตลอดกาล และนับตั้งแต่วินาทีที่พลเอกประยุทธ์มอบให้นายมีชัยและพวกเขียนรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ พลเอกประยุทธ์ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายล้างทุกคนที่แตะต้องรัฐธรรมนูญนี้จนปัจจุบัน

หกปีที่พลเอกประยุทธ์มีอำนาจคือหกปีที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามประชาชนจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือเส้นแบ่งระหว่าง “รัฐบาล” กับ “อันธพาลการเมือง” และแม้แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ก็เป็นรัฐธรรมนูญที่ได้มาเพราะรัฐบาลทำตัวเป็นอันธพาลด้วยการข่มขู่, การปิดปาก และยัดคดี

ไม่มีเสี้ยววินาทีไหนในระบอบประยุทธ์ที่ไม่มีการใช้อำนาจเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญซึ่งเขียนให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นใหญ่เหนือประชาชน แต่นับจากวินาทีที่ขบวนการปลดแอกก่อตัวจนแผ่ขยายไปอย่างไม่หยุดยั้ง การวิจารณ์รัฐธรรมนูญและ 250 ส.ว.กลายเป็นเรื่องปกติจนนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ

จริงอยู่ว่ารัฐบาลเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญที่เตะถ่วงให้แก้รัฐธรรมนูญถึงปี 2565 เพื่อให้วุฒิสมาชิกมีโอกาสเลือกพลเอกประยุทธ์เป็นนายกได้ถึงปี 2569 รวมทั้งสอดแทรก สสร.ที่เชื่อมโยงถึงรัฐบาลได้ถึง 50 คน

อย่างไรก็ดี ด้วยบรรยากาศการเมืองตอนนี้ รัฐบาลไม่มีทางทำแผนนั้นได้ หรือถ้าดันทุรังทำขึ้นมาจริงๆ ประเทศก็ลุกเป็นไฟ

ด้วยการจุดประกายของม็อบปลดแอกจนเกิดการแสดงออกทางสัญลักษณ์อย่างชุมนุม,ชูสามนิ้ว,ผูกโบว์ขาว ฯลฯ รัฐบาลประยุทธ์ไม่อาจจรรโลงอำนาจด้วยวิธีอันธพาลอย่างที่ทำมาในอดีต โดยเฉพาะในเวลาที่ประชาชนพัฒนาสู่การรวมตัวเป็นขบวนการขึ้น ตัวอย่างเช่นม็อบนักเรียนวันที่ 5 กันยายน

แม้สาระของม็อบนักเรียนจากโรงเรียนกว่า 50 แห่ง จะได้แก่ความล้าหลังของครูและระบบการศึกษาไทย แต่วิธีที่นักเรียนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “นักเรียนเลว” สะท้อนการปฏิเสธอำนาจเผด็จการที่ครูและโรงเรียนยัดข้อหาคนที่ไม่ทำตามกฏเป็น “นักเรียนเลว” แล้วลงโทษโดยกฎนั้นไม่มีเหตุผลรองรับเลย

ม็อบนักเรียนพูดเยอะเรื่องโรงเรียนตั้งกฎให้ครูจับเด็กกร้อนผม หรือบังคับนักเรียน LGBTQ แต่งตัวตามที่ครูต้องการ แต่เราทุกคนรู้ดีว่าผมบนหัวหรือเสื้อผ้าไม่เกี่ยวกับ “ความดี” หรือคุณภาพการเรียน โรงเรียนที่ทำแบบนี้จึงไม่ต่างกับนายกเผด็จการที่ออกกฎบ้าๆ ลงโทษคนที่ไม่ทำตามกฎเฮงซวย

จากจุดเริ่มต้นกลางเดือนกรกฎาคมที่แค่แก้รัฐธรรมนูญยังไกลแสนไกล ความมุ่งมั่นของคนทุกกลุ่มในการระเบิดพลังประชาธิปไตยทำให้การแก้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับการยกระดับเพดานการพูดเรื่องอื่นๆ หรือแม้แต่การเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ลาออกในปัจจุบัน

ความมุ่งมั่นของคนทุกกลุ่มจนเหลือเชื่อทำให้สถานการณ์ของประเทศมาถึงจุดที่ทนายอานนท์ นำภา พูดว่า “เรามาไกลเกินกว่าจะกลับไปเริ่มต้นใหม่” และด้วยพลังของการเปลี่ยนแปลงที่อัตราเร่งสูงขนาดนี้ รัฐและกลไกรัฐภายใต้ระบอบประยุทธ์ยังไม่สามารถหาทางยุติความเปลี่ยนแปลงได้เลย

ถ้าม็อบเยาวชนปลดแอกกลางกรกฎาคมคือจุดเริ่มต้นแห่งขาลงทางการเมืองของรัฐบาล สถานการณ์เดือนกันยาก็คือหลักฐานว่าขาลงนี้ถึงจุดที่ไม่อาจย้อนกลับ แรงต้านรัฐบาลขยายตัวจนคุณประยุทธ์ต้องทำทุกทางเพื่อรักษาอำนาจ ตัวอย่างเช่นชะลอจ่ายเงินเรือดำน้ำเพื่อรักษาตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

หัวใจของอำนาจการเมืองคือความสามารถในการปกครองประชาชน และปัจจัยทุกอย่างชี้ว่ารัฐบาลประยุทธ์กำลังสูญเสียความสามารถในการทำให้ประชาชนยอมรับอำนาจการปกครองมากขึ้นเรื่อยๆ จนหากเป็นอย่างนี้ต่อไป จุดจบของรัฐบาลแบบนี้ก็คือรัฐล้มเหลวที่ไม่มีใครฟังรัฐเลย

ระบอบประยุทธ์ควบคุมตำรวจทหารจนทำให้รัฐบาลมีอำนาจเหนือประชาชน แต่อำนาจลักษณะนี้เกิดจากการใช้กำลังบังคับมากกว่าความเห็นด้วย และเมื่อใดที่รัฐบาลต้องใช้กำลังเพื่อจรรโลงอำนาจยิ่งกว่าการยอมรับ เมื่อนั้นความสัมพันธ์ของรัฐบาลกับประชาชนก็จะเสื่อมทรามสู่ความเป็นศัตรู

ไม่มีตัวแปรไหนชี้ว่ารัฐบาลประยุทธ์จะสามารถสร้างความยอมรับจนฟื้นฟูความนิยมในประชาชน ความตกต่ำทางเศรษฐกิจทำลายความหวังของรัฐบาลที่จะสร้างภาพพลเอกประยุทธ์เป็นวีรบุรุษผู้พาประเทศพ้นวิกฤตโควิด-19 จนปัญหาตอนนี้มีอยู่แค่ฉากจบของพลเอกประยุทธ์จะเป็นอย่างไร

รัฐบาลและกลไกต่างๆ ในระบอบประยุทธ์พยายามปลุกระดมว่าฝ่ายประชาธิปไตยคือพวก “ชังชาติ” เพื่อปลุกปั่นให้คนที่รักชาติอยู่ข้างรัฐบาล แต่ยิ่งนานสถานการณ์ยิ่งชี้ว่า “ชังชาติ” ไม่มีพลังพอจะปลุกให้ใครอยู่ข้างรัฐบาลได้มากนัก และไม่มีผลเลยต่อการสกัดการขยายตัวของพลังประชาธิปไตย

พลเอกอภิรัชต์เป็นผู้บัญชาการทหารบกที่อยู่แถวหน้าในการยัดข้อหา “ชังชาติ” ใส่ทุกคนที่เห็นต่างจากรัฐบาล และในเวลาที่ม็อบปลดแอกขยายตัวเป็นการแสดงสัญลักษณ์ต้านเผด็จการโดยชูสามนิ้วทั่วประเทศ พลเอกอภิรัชต์ก็ออกมาประกาศว่าจะไม่ยอมให้ระบอบนี้จบอย่างที่ประชาชนต้องการ

คุณวรงค์ตั้งกลุ่มยุประชาชนเกลียดประชาชนตามแนวทางผบ.ทบ. แต่คุณวรงค์ก็มีชะตาเหมือน ผบ.ทบ.คือมีผู้สนับสนุนน้อยมาก “ชังชาติ” ที่รัฐทรราชย์ใช้ฆ่าประชาชนยุค 6 ตุลา 19 และพฤษภาคม 53 กลายเป็นกระสุนด้าน ส่วนผู้พูดเหมือนลูกเสือชาวบ้านหลงยุคในสังคมที่คนนับล้านอ่านสมศักดิ์เจียมและปวิน

ขณะที่ผบ.ทบ.ใช้คำประกาศ “ชังชาติ” เป็นศาลเตี้ยโจมตีผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ขบวนการชูสามนิ้วร้องเพลงชาติคือสัญลักษณ์ของการทวงชาติจากศาลเตี้ยมาเป็นของประชาชนทั้งหมด วินาทีที่ประชาชนชูสามนิ้วคือวินาทีที่ประชาชนประกาศตัวเป็นเจ้าของชาติที่รักชาติไม่น้อยกว่า ผบ.ทบ.

โดยปกติกองทัพและบริวารมักยัดเยียดข้อหา “ชังชาติ” โดยอ้างว่าคนที่ต้านเผด็จการมี “ต่างชาติ” ที่เป็นศัตรูของชาติอยู่เบื้องหลัง แต่ในยุคที่รัฐบาลเประจบจีนและอเมริกาโดยซื้อเรือดำน้ำและปล่อยทหารเข้าไทยทั้งที่เสี่ยงโควิด-19 ใครจะไปเชื่อนิยายกองทัพเรื่องสองมหาอำนาจจ้องทำลายชาติไทย

ม็อบวรงค์โจมตีคนรักประชาธิปไตยว่า “ชังชาติ” จนอดีตส.ส.อย่างคุณวัชระบอกว่าเหมือนรับงานมาสร้างสถานการณ์ แต่ความไม่สามารถทำอะไรมากกว่าทำตาถลนด่าเสียงดังไปเรื่อยๆ ทำให้ม็อบเป็นเหมือนการสะกดจิตหมู่ของขบวนการต้านประชาธิปไตยอาการคล้ายคนลงแดงทางสติปัญญา

ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยพูดอย่างชัดเจนถึงการสร้างชาติซึ่งวางอยู่บนหลักความเท่าเทียม ฝ่ายที่ปลุกปั่นวาทกรรมเรื่อง “ชังชาติ” กลับไม่สามารถอธิบายว่าชาติคืออะไรได้อย่างมีน้ำหนักจนดูคล้ายขบวนการกระหายเลือดยุค 6 ตุลา 2519 ที่จู่ๆ ก็โผล่มาในโลกซึ่งทุกคนรู้ว่า 6 ตุลา คืออาชญากรรม

ด้วยสภาพของฝ่ายที่ปลุกปั่นวาทกรรม “ชังชาติ” เพื่อปิดปากผู้เรียกร้องประชาธิปไตย คนที่มีจิตปกติส่วนใหญ่คงยากที่จะเข้าร่วมภารกิจคลั่งชาติภายใต้ผบ.ทบ.-คชโยธี-วรงค์ ที่ปู้ยี่ปู้ยำคำว่า “ชาติ” จนเละเทะเหมือนคนที่ขาดยาบางประเภทจนตาขวางแล้วพูดกับใครก็ไม่รู้เรื่องเลย

ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยพูดเรื่องความเท่าเทียมจนสังคมเห็นว่าชาติปัจจุบันมีปัญหาอย่างไร และอะไรคือเส้นทางที่ชาติควรเดินต่อไปในอนาคต สิ่งที่ ผบ.ทบ.และเครือข่ายทำมีแค่การบอกว่าทุกอย่างในประเทศตอนนี้ดีไปหมด ชาติในอนาคตจึงควรเป็นอย่างปัจจุบันและเป็นอย่างที่อดีตเคยเป็น

อุดมคติของชาติคือชาติเป็นของคนทุกคน และเมื่อชาติเป็นของทุกคน พลเมืองทุกคนจึงมีพันธะบางอย่างเพื่อชาติไปด้วย แต่ชาติที่ ผบ.ทบ.คิดว่าดีในปัจจุบันเป็นระบอบที่กดคนทุกคนไว้ใต้คนบางคนมานานจนทุกคนรู้ว่าเจ้าของชาติไม่ใช่ประชาชน ผลก็คือชาติแบบนี้ไม่มีพลังให้คนเชื่ออีกต่อไป

หกปีกว่าๆ ใต้การปกครองของพลเอกประยุทธ์เป็นหกปีที่รัฐทำให้ประชาชนเห็นว่าเราเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยที่ไม่มีสิทธิมีเสียงเลย รัฐคิดว่าประชาชนมีหน้าที่ต้องเชื่อฟังรัฐบาล ส่วนรัฐบาลก็ออกนโยบายและกฎหมายตามอำเภอใจจนประชาชนมีแค่หน้าที่ในการปฏิบัติราวกับมีชีวิตใต้คำสั่งรัฐตลอดเวลา

กองหนุนเผด็จการมักอ้างว่าระบอบนี้ดูแลประชาชนดีกว่าประชาธิปไตย แต่หกปีใต้พลเอกประยุทธ์ทำให้คนไทยตาสว่างว่าเผด็จการคือระบอบที่ดูแลประชาชนน้อยที่สุด เพราะหกปีนี้งบประเทศถูกใช้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนระบอบนี้คือสัญลักษณ์ของการกดสวัสดิการให้เท่ากับถุงยังชีพเท่านั้นเอง

ด้วยการใช้วาทกรรมชังชาติโจมตีคนรักประชาธิปไตย ระบอบประยุทธ์ทำให้ความรักชาติเท่ากับการซื้อเรือดำน้ำจีน, การปกครองแบบเผด็จการ, จ่ายค่าสู้คดีเหมืองทองแทนหัวหน้า คสช., รัฐบาลห่วย, นายกโง่ ฯลฯ จนไม่มีทางที่ใครจะรักชาติซึ่งกลายเป็นเครื่องมือของเรื่องแบบนี้ได้เลย

ชังชาติคือยากล่อมประสาทที่กำลังหมดอายุของเผด็จการ ยิ่งใช้ยิ่งเตือนใจคนส่วนใหญ่ว่าชาติภายใต้ระบอบนี้ไม่ใช่ชาติของประชาชน คนที่รักชาติจริงๆ ไม่มีเหตุผลให้เชื่อเวลาคนพล่ามเรื่องชังชาติ และทางรอดของชาติคือการสร้างชาติที่วางอยู่บนหลักประชาธิปไตยและความเสมอภาคจริงๆ

ทุกคำประกาศของเครือข่ายเผด็จเรื่องชังชาติคือทุกคำประกาศเพื่อกดคนเป็นทาสภายใต้ชาติที่ไม่ใช่ของประชาชน