ต่างประเทศ : เชื้อทุจริตคอร์รัปชั่นสู่ชนวน “ระเบิดมหาวินาศกรุงเบรุต”

Words are written by Lebanese citizens in front of the scene of Tuesday's explosion that hit the seaport of Beirut, Lebanon, Sunday, Aug. 9, 2020. Public fury over the massive explosion in Beirut took a new turn Saturday night as protesters stormed government institutions and clashed for hours with security forces, who responded with heavy volleys of tear gas and rubber bullets. (AP Photo/Hussein Malla)

วันที่ 4 สิงหาคม ผ่านเวลา 18.00 น. ไปได้ไม่นาน เกิดเหตุไฟไหม้โกดังที่ท่าเรือกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน นักดับเพลิง 10 นายถูกส่งลงพื้นที่หลังจากได้รับแจ้งเหตุ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ามีสาร “แอมโมเนียมไนเตรต” ที่ถูกเก็บมานานกว่า 7 ปี กำลังรอการระเบิดครั้งใหญ่

คลิปวิดีโอที่บันทึกภาพเหตุการณ์จากโทรศัพท์มือถือ เผยแพร่ภาพความน่าพรั่นพรึงของระเบิดที่ส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกทำลายล้างบ้านเรือนเป็นรัศมีหลายสิบกิโลเมตร

มีผู้เสียชีวิตมากถึง 180 คน ในจำนวนนี้คือนักดับเพลิงที่ถูกแรงระเบิดฉีกร่างเสียชีวิตในที่เกิดเหตุในทันที และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 6,000 คน

เวลาผ่านไป 3 สัปดาห์แล้วที่มีการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะผ่านทางสื่อที่เก็บข้อมูลเจาะลึกถึงที่มาที่ไปของ “สารแอมโมเนียมไนเตรต” ต้นตอการระเบิดใน “โกดังหมายเลข 12” จุดที่ในเวลานี้กลายเป็นหลุมกว้าง 200 เมตรที่มีน้ำทะเลไหลเข้ามาท่วมจนเต็ม

กลายเป็นอนุสรณ์โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ

 

ย้อนไปเมื่อ 7 ปีก่อน เรือ “โรซุส” เรือสินค้าบรรทุก “แอมโมเนียมไนเตรต” น้ำหนัก 2,755.5 ตัน ล่องจากท่าเรือประเทศจอร์เจียไปยัง “ประเทศโมซัมบิก”

เรือโรซุสที่มีเจ้าของเป็นชาวรัสเซีย ออกนอกเส้นทางด้วยการจอดแวะที่กรุงเบรุตเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ปี 2013 โดยเจ้าของเรือเปิดเผยว่า บริษัทกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สิน จึงต้องการหารายได้จากการซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่ไปขายต่อ แต่เรือโรซุสมีน้ำหนักเกินพิกัดไม่สามารถขนสินค้าลงเรือเพิ่มได้

ในที่สุดเรือโรซุสไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเรือต่อไปยังปลายทางได้เพราะ “ไม่จ่ายค่าธรรมเนียมท่าเรือ” นั่นส่งผลให้เรือต้องจอดอยู่ที่ท่าเรือดังกล่าวจนถึงปี 2018 ก่อนจะถูกจมลงก้นทะเล

“สารแอมโมเนียมไนเตรต” ที่นอกจากใช้เป็นปุ๋ยแล้วยังใช้เป็นสารตั้งต้นระเบิด ถูกเคลื่อนย้ายออกจากเรือไปเก็บไว้ในโกดังหมายเลข 12 ในเดือนตุลาคม ปี 2014 หลังจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรส่งจดหมายเตือนถึงรัฐบาล รวมไปถึงผู้พิพากษาศาลพิจารณาคดีเร่งด่วน ส่งเอกสารเตือนกระทรวงงานสาธารณะและคมนาคม เลบานอนถึงวัตถุอันตรายที่ลอยอยู่ในท่าเรือกรุงเบรุต

หลังจากนั้นมีคำเตือนจากหลายฝ่ายถึงผู้เกี่ยวข้องในการเก็บแอมโมเนียมไนเตรต ที่เปรียบเสมือนการเก็บระเบิดขนาดยักษ์เอาไว้ในบ้านหลายครั้งด้วยกัน

 

ครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2015 มีรายงานจากผู้เชี่ยวชาญทางเคมี แนะนำให้นำวัตถุอันตรายไปทำลายทิ้งเนื่องจากสภาพกระสอบที่เก็บและตัวแอมโมเนียมไนเตรตเองมีสภาพย่ำแย่มาก

ขณะที่การจัดเก็บก็กองสุมกันจนไม่สามารถนับได้ เสี่ยงที่จะถูกลักลอบนำออกไปใช้ในทางที่ผิด

“กองบัญชาการทหารเลบานอน” มีการสั่งการให้เข้าตรวจสอบระดับไนโตรเจนในโกดังในปีเดียวกันก่อนจะมีผลการตรวจสอบเปิดเผยในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 พบว่าระดับไนโตรเจนสูงถึง 34.7 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในระดับเกินกว่าระดับที่ยอมรับว่าปลอดภัยที่ 11 เปอร์เซ็นต์อยู่มาก

อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการกองทัพไม่ต้องการแอมโมเนียมไนเตรตไปใช้ จึงแนะนำไปให้บริษัทก่อสร้างขุดเจาะภูเขาสร้างถนน ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็ปฏิเสธที่จะรับซื้อ เนื่องจากกังวลเรื่องที่มาที่ไป รวมถึงคุณภาพของสารดังกล่าว

สุดท้ายเกิดทางตันขึ้น เมื่อกรมศุลกากรยืนยันว่าได้ส่งคำร้องหลายฉบับ ขอให้ “ศาลคดีเร่งด่วน” เลบานอน ให้อนุญาตให้ขายสารแอมโมเนียมไนเตรตในโกดังออกไป

ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรทั้งคนเก่าและคนปัจจุบันก็ยืนยันว่าไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากศาล

 

ขณะนักข่าวกลับไปพบเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าศาลได้ตอบกลับคำร้องไปทุกครั้งว่า ศาลไม่มีขอบเขตอำนาจในการตัดสินในเรื่องดังกล่าว และระบุว่า “กระทรวงกิจการสาธารณะ” จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจ

รายงานที่เกี่ยวข้องกับสารแอมโมเนียมไนเตรตที่โกดังหมายเลข 12 มีขึ้นในครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสำนักงานความมั่นคงเลบานอน ที่รายงานแจ้งกับ “ประธานาธิบดีมิเชล อูน” ว่า ประตูโกดังหมายเลข 12 บานที่ 9 ได้รับความเสียหาย เสี่ยงต่อการที่จะมีคนขโมยสารเคมีอันตรายไปทำวัตถุระเบิดได้

และเตือนด้วยว่า สารเคมีอันตรายจำนวนมากนั้นอาจทำให้เกิดระเบิดที่จะ “ทำลายท่าเรือได้ทั้งหมด”

ประธานาธิบดีอูน ผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งนับตั้งแต่ปี 2016 ระบุว่า ตนได้ยินเรื่องการเก็บแอมโมเนียมไนเตรตครั้งแรกจากรายงานของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ และได้มีการสั่งการให้หน่วยงานทางการทหารและความมั่นคงทำสิ่งที่ควรทำแล้ว

และอ้างด้วยว่า ตนนั้น “ไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ ในท่าเรือดังกล่าว”

 

เวลานี้การโยนบาปกันไปมาก็ยังคงดำเนินต่อไป พร้อมๆ กับการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นคือผู้อำนวยการการท่าเรือ และอธิบดีกรมศุลกากร

แต่แน่นอนว่าเสียงวิจารณ์ถึงต้นตอหายนะในครั้งนี้มุ่งตรงไปที่การทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์มหาศาลในการท่าเรือ

รายงานระบุว่า ผลประโยชน์ในท่าเรือจะถูกบรรดานักการเมืองไปจัดสรรแบ่งปันให้กับผู้สนับสนุนทางการเมืองที่จะถูกส่งไปนั่งในหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ของการท่าเรือที่มีอยู่ทั่วประเทศ

ยกตัวอย่างเช่น อธิบดีกรมศุลกากรเลบานอน ที่ดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนาน เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นผู้ภักดีต่อประธานาธิบดีเลบานอนคนปัจจุบัน

ผู้อำนวยการการท่าเรือเองก็เป็นผู้ภักดีกับ “ซาอัด ฮาริรี” ผู้นำมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่เคยนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเลบานอนอยู่หลายสมัย ยิ่งกว่านั้นยังมีคนของกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ และกลุ่มพันธมิตรนำโดย “ประธานรัฐสภาเลบานอน” นั่งในตำแหน่งสำคัญในการท่าเรือด้วย

นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลเลี่ยงที่จะเข้าตรวจสอบ หรือกระทำการที่อาจกระทบผลประโยชน์ของคนในการท่าเรือ และบางครั้งแต่ละหน่วยงานในการท่าเรือเองก็ไม่ร่วมมือกันทำงานเพราะอยู่กันในสายการเมืองคนละขั้ว

สภาพที่เกิดขึ้นทำให้การท่าเรือเลบานอนได้ชื่อว่าเป็นองค์กรที่มีการทุจริตมากที่สุดองค์กรหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการคอร์รัปชั่นอยู่แล้ว ขณะที่ “เจ้าหน้าที่การท่าเรือและศุลกากรของประเทศเลบานอน” ก็ถูกกล่าวถึงในฐานะ “กลุ่มแก๊งมาเฟีย ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยแก๊งมาเฟียที่เข้าสู่ตำแหน่งด้วยกระบวนการเลือกตั้ง”

แม้เวลานี้ต้นตอการระเบิดในครั้งนี้ก็ยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน

แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือภาพสะท้อนให้เห็นว่าการทุจริตที่เกาะกินประเทศ สร้างหายนะให้เกิดขึ้นได้มากมายเพียงใด

 


กว่า 12 ปี ของการจัดงาน Healthcare เครือมติชนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ส่งต่อความรู้และให้บริการสุขภาพแก่คนไทยในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน ดูแล และรักษา โดยเฉพาะการบริการตรวจสุขภาพฟรีจากสถานพยาบาลชั้นนำ เวิร์กชอป ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงการยกระดับเวทีเสวนาให้เป็น “Health Forum” เปิดเวทีให้แพทย์ และ Speaker ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการป้องกัน การรักษา และนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องราวสุขภาพในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมาให้อัปเดตตลอด 4 วันของการจัดงาน เดินทางสะดวกโดยทางด่วนและ MRT ลงสถานีสามย่าน ทางออกที่ 2
ลงทะเบียนเข้างานฟรี มีต้นไม้แจกด้วยนะ (จำนวนจำกัด)