วงค์ ตาวัน | ชำระประวัติศาสตร์ม็อบ

วงค์ ตาวัน

โดยปกติการลุกขึ้นต่อสู้เดินขบวนชุมนุมประท้วงของประชาชน มักจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน เพื่ออำนาจการเมืองให้อยู่ในมือประชาชน เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน สู้เพื่อให้ประชาชนเป็นใหญ่

แต่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย กลับมีการต่อสู้ของม็อบที่สร้างความสับสนได้ไม่น้อย มีม็อบที่ลุกขึ้นขับไล่รัฐบาลประชาธิปไตย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดถ้ารัฐบาลนั้นล้มเหลว คอร์รัปชั่นเยอะ เพียงแต่การขับไล่รัฐบาลต้องมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชน

“ไล่รัฐบาล โดยต้องรักษาประชาธิปไตยเอาไว้ เพื่อให้ประชาชนนี้แหละ ใช้อำนาจในมือเพื่อชี้ชะตากรรมบ้านเมืองต่อไป”

ไม่ใช่ไล่รัฐบาลประชาธิปไตย เพื่อให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ

นั่นคือการทำลายประชาธิปไตย ทำให้อำนาจการเมืองในมือประชาชนสูญเสียไป ที่สำคัญการรัฐประหารก็คือการทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชนในฉับพลันทันที

นั่นคือม็อบที่สู้เพื่อให้ประชาชนหมดอำนาจ ผิดทิศทางอย่างสิ้นเชิง

“จนมีคำเปรียบเทียบทางการเมืองว่า เป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป!”

ม็อบแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือม็อบเสื้อเหลืองเมื่อปี 2549 และม็อบนกหวีดเมื่อปี 2557

นำมาสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐประหาร 2557 ได้นำมาสู่รัฐบาล คสช. เป็นรัฐบาลทหารยาวนานถึง 5 ปี

พอจัดเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ก็ได้รัฐบาลที่ผู้นำ คสช.เข้ามามีอำนาจต่อไปอีก ผัดหน้าทาแป้งแต่งตัวว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง

“แต่ในวันนี้เด็กนักเรียน นักศึกษา เยาวชน ไม่ยอมรับ เรียกว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ”

รวมทั้งเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ เนื่องจากเยาวชนเห็นว่ามีการอาศัยกติการัฐธรรมนูญที่ผิดเพี้ยน มีสูตรคำนวณ ส.ส.แบบพิสดาร มีเสียง 250 ส.ว.มากำหนดนายกฯ ทำให้เสียงของประชาชนหลายล้านที่ไปลงคะแนนเลือกตั้งถูกบิดเบือน

เหล่านี้ คนรุ่นใหม่จึงทนไม่ไหว ลุกออกมาเคลื่อนไหว ขยายตัวอย่างกว้างขวางไปทั่วประเทศในวันนี้ พร้อมๆ กับการต่อต้านรัฐบาลที่เด็กๆ เรียกว่าเป็นเผด็จการ

อีกทั้งเนื้อหาการปราศรัยในกระบวนการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในวันนี้ ยังเริ่มพูดถึงม็อบในอดีตที่ผ่านมา

โดยเด็กรุ่นใหม่ได้มีการทบทวนประวัติศาสตร์ม็อบในช่วงที่ผ่านมา ด้วยการเน้นย้ำถึงม็อบนกหวีด เพราะมองว่าเป็นการชุมนุมเพื่อปูทางให้รัฐบาล คสช.เข้ามากุมอำนาจและต่อท่ออำนาจมาจนถึงวันนี้!

การชุมนุมของเยาวชนรุ่นใหม่ ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ผู้ใหญ่หลายคนแทบช็อก เพราะเคลื่อนไหวขยายตัวถึงโรงเรียนมัธยมต่างๆ ชูสามนิ้ว ผูกโบขาวกันอย่างคึกคักกว้างขวาง แต่พร้อมๆ กันก็ปะทะกับครูบางราย ที่ยังติดอยู่ในโลกเก่า

ครูบางส่วนรับไม่ได้ที่เห็นเด็กลุกขึ้นมาพูดและแสดงออกในเรื่องการเมือง จึงเกิดการดุด่า แย่งยื้อป้าย กระดาษ ตบโทรศัพท์มือถือเด็ก เอาตัวไปพบผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อกดดัน

ก่อนที่ครูบางรายที่ประพฤติเช่นนี้ จะถูกขุดประวัติที่เข้าร่วมม็อบเป่านกหวีดอย่างสนุกสนาน ภาพว่อนไปทั่วโซเชียล

“ยิ่งตอกย้ำให้เห็นอุดมการณ์ของม็อบนกหวีด ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับม็อบเด็กเยาวชนในวันนี้”

เพราะเด็กวันนี้แสดงชัดว่าไม่ยอมรับการเมืองที่เป็นเผด็จการ ผูกขาดอำนาจในมือคนกลุ่มเดียว แถมเป็นกลุ่มที่เด็กเห็นว่าล้าหลัง ฉุดบ้านเมืองให้ถอยหลัง ทำให้อนาคตของเด็กๆ มืดมนไปด้วย

เด็กนักเรียน-นักศึกษา สู้เพื่อประชาธิปไตย ปลดแอกจากพันธนาการที่กดทับ ต้องการสิทธิเสรีภาพ และต้องการการเมืองที่รุดไปข้างหน้า ไม่ใช่ถอยหลังเช่นนี้

ขณะที่ครูที่มีอุดมการณ์นกหวีดก็แสดงจุดยืนชัดเจนว่า เด็กต้องอยู่ในโอวาท ต้องเรียนหนังสือ ต้องท่องจำอย่างเดียว

“เป็นการปะทะกันระหว่างอุดมการณ์อนุรักษนิยมการเมือง กับอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย ระหว่างผู้ใหญ่ในโลกเก่า กับเด็กในโลกยุคใหม่”

แล้วยิ่งผู้ใหญ่ล้าหลังที่พยายามปิดกั้นเด็ก กลับพบปูมประวัติเมื่อ 6 ปีก่อน ที่สืบค้นได้ไม่ยาก ว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมม็อบนกหวีดอย่างแข็งขัน

ม็อบนกหวีดและการรัฐประหาร ได้รัฐบาล คสช. คือปัญหาของเด็กในวันนี้ ที่ไม่ยอมรับ ปรารถนาให้เปลี่ยนแปลง

ประวัติศาสตร์ม็อบนกหวีด จึงกระจ่างในสายตาของเยาวชนรุ่นใหม่วันนี้

แถมยังมีการเคลื่อนไหวประท้วงของเหล่านักเรียน พุ่งไปยังรัฐมนตรีบางคน โดยระบุอย่างชัดเจนว่าได้ดิบได้ดีจากการเป่านกหวีด

อดีตของผู้ใหญ่หลายรายในวันนี้ เป็นที่รังเกียจของเยาวชน เมื่อพบว่าร่วมอยู่ในม็อบนกหวีด ที่เป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตยที่เหล่าเยาวชนใฝ่ฝัน!

ขณะเดียวกันในการเคลื่อนไหวของนักเรียน-นักศึกษาคนรุ่นใหม่ มีการพูดถึงม็อบเสื้อแดงกันอย่างกว้างขวาง โดยยกให้เป็นขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่เข้มแข็ง และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เช่นเดียวกับที่คนรุ่นใหม่กำลังต่อสู้ในวันนี้

แต่การเคลื่อนไหวของเหล่าเยาวชน คงไม่ใช่การเชื่อมโยงอะไรกับเสื้อแดง เพราะเป็นคนละช่วงเวลา เป็นคนละรูปแบบ

เพียงแต่คนรุ่นใหม่ในวันนี้ อาจจะมองช่วงการเคลื่อนไหวเสื้อแดงในช่วงปี 2552-2553 อย่างผิดพลาด ใช้ทัศนะแบบชนชั้นกลางเมืองหลวงเข้าไปมอง จึงเห็นเป็นม็อบรุนแรง ม็อบคนชนบท ที่ทำให้คนเมืองหลวงได้รับผลกระทบ ทำให้การจราจรติดขัด และมองเป็นพวกเผาบ้านเผาเมืองที่ต้องป่าวประณาม

“ครั้นเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตมากขึ้น ได้เรียนรู้ข้อมูลการเมืองอย่างเข้าถึงมากขึ้น ก็เริ่มแยกแยะได้ ระหว่างม็อบต่อสู้เพื่อประชาชน สู้เพื่อสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย กับม็อบที่ต่อสู้เพื่อไม่ให้ประเทศมีประชาธิปไตย สนับสนุนอำนาจกองทัพ ที่ไม่เชื่อมโยงกับประชาชน ทำให้ทิศทางบ้านเมืองถอยไปสู่ความล้าหลัง”

เด็กรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวในวันนี้ จึงมีคำกล่าวขอโทษที่เคยมองม็อบเสื้อแดงผิดๆ ทั้งยกย่องชื่นชมในอุดมการณ์ที่ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมของชนชั้น และเพื่อเสรีภาพประชาธิปไตย

“แต่แน่นอน คงไม่สามารถเอากระบวนการต่อสู้ของเสื้อแดงนำมาใช้ในวันนี้ได้อีกแล้ว”

ที่สำคัญ วันนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่ มีรูปแบบ มีกระบวนการที่เป็นของตัวเอง ที่สอดรับเชื่อมโยงกับความเป็นเด็กรุ่นใหม่

ทั้งวิ่งแฮมทาโร่ ทั้งแฮร์รี่ พอตเตอร์

“ใช้สัญลักษณ์ชูสามนิ้ว ที่มาจากภาพยนตร์ยอดนิยมของคนรุ่นใหม่”

มีบทเพลงบนเวทีการต่อสู้ ทั้งแร็พประเทศกูมี มีวงดนตรีท่วงทำนองของคนรุ่นใหม่ ไปจนถึงเพลงสำคัญที่ร้องกันกระหึ่มคือเพลงจากหนังเลมิเซราบส์

มีรูปแบบเฉพาะของคนรุ่นนี้ มีเครื่องมือที่ใช้สื่อสารและใช้เป็นพลังการต่อสู้ที่สำคัญคือ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์

“นัดหมาย วางรูปแบบการเคลื่อนไหว สร้างพลัง ผ่านทวิตเตอร์!”

เมื่อถูกคุกคามจับกุมจากเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ไลฟ์สดกันทันที เพื่อบอกเล่ากับสังคม และเพื่อป้องกันการใช้ความรุนแรงจากรัฐ เมื่อไปตรวจค้นที่พัก ก็ไลฟ์สดเพื่อให้ทั้งสังคมร่วมรู้เห็นว่าไม่มีสิ่งผิดกฎหมายใดๆ จู่ๆ จะโผล่ขึ้นมาเองไม่ได้

ยุคนี้การเคลื่อนไหวต่อสู้ของประชาชนในหลายประเทศ รวมทั้งที่เยาวชนรุ่นใหม่ในบ้านเรากำลังต่อสู้กันอยู่

“อยู่ในโลกดิจิตอลที่ผู้ใหญ่จำนวนมากตามไม่ทัน ไม่รู้ ไม่เข้าใจ”

จนนำมาสู่การกล่าวหาเด็กเหล่านี้ว่า ไม่รู้จริง โดนล้างสมอง มีท่อน้ำเลี้ยง มีคนชักใย

ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงเลย ทั้งยิ่งเป็นการตอกย้ำกับหนุ่มสาวรุ่นใหม่ว่า ต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้พ้นจากความล้าหลังคร่ำครึจริงๆ!!


กว่า 12 ปี ของการจัดงาน Healthcare เครือมติชนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ส่งต่อความรู้และให้บริการสุขภาพแก่คนไทยในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน ดูแล และรักษา โดยเฉพาะการบริการตรวจสุขภาพฟรีจากสถานพยาบาลชั้นนำ เวิร์กชอป ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงการยกระดับเวทีเสวนาให้เป็น “Health Forum” เปิดเวทีให้แพทย์ และ Speaker ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการป้องกัน การรักษา และนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องราวสุขภาพในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมาให้อัปเดตตลอด 4 วันของการจัดงาน เดินทางสะดวกโดยทางด่วนและ MRT ลงสถานีสามย่าน ทางออกที่ 2
ลงทะเบียนเข้างานฟรี มีต้นไม้แจกด้วยนะ (จำนวนจำกัด)