ฐากูร บุนปาน | ทำไมการ “ล้างสมอง” ของผู้มีอำนาจรัฐ ถึงไม่ได้ผล ?

ถ้ายังเชื่อข้อมูล (เอ๊ะ จะเรียกว่าเป็นข้อมูลได้หรือเปล่า หรือเป็นเรื่อง “มโน” เอาเอง) ประเภทที่ว่า

ที่เด็กนักเรียน-นักศึกษาออกมาเคลื่อนไหว ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอยู่ในเวลานี้ เพราะถูกเพื่อน “บูลลี่” ไม่ทำเดี๋ยวจะไม่มีใครคบ

หรือเด็กถูก “ล้างสมอง”

ก็สงสัยว่าจะได้เห็นการเคลื่อนไหวที่ขยายวงกว้างออกไป และเพิ่มจำนวนใหญ่ขึ้นกว่านี้ในไม่ช้า

ก็ไม่ใช่เพราะทัศนคติ-วิธีคิดแบบ “คุณพ่อรู้ดี” นี่ดอกหรือ ถึงได้ทำให้เกิดปัญหาอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

มีคนมาชี้จุดอ่อนที่เหมือนชี้ขุมทรัพย์ให้

นอกจากปฏิเสธไม่รับความหวังดีนั้นแล้ว ยังโยนขี้โยนผิดกลับไปให้คนชี้เสียอีก

แล้วจะหวังให้เรื่องจบแบบสุขนาฏกรรมได้อย่างไร

ถามว่าต้องบูลลี่กันขนาดไหน ถึงได้ทำให้จำนวนนักเรียนที่ออกมาเคลื่อนไหวแพร่กระจายไปได้ทั่วประเทศขนาดนั้น

หรือทำไมการ “ล้างสมอง” ของฝั่งผู้มีอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะค่านิยม (ประหลาดๆ เชยๆ) ด้วยตำรา (ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์อย่างหน้าด้านๆ) ด้วยอำนาจสั่งการตามสายบังคับบัญชาลงไปถึงผู้บริหารสถานการศึกษา-คุณครูส่วนหนึ่ง

ถึงไม่ได้ผลแบบเดียวกันบ้าง

เคยทบทวน หรือตั้งคำถามกับตัวเองบ้างไหม

เคยฉุกใจคิดขึ้นมาสักนิดไหมว่ามันมีอะไรผิดพลาดไป

เคยคิดที่จะลงไปคลุก ลงไปหาข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง (ไม่มโน ไม่มาตามไลน์ ไม่ใช่การรายงานเอาใจนาย) บ้างหรือไม่

และที่สำคัญ

เคยตระหนักบ้างไหมว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กต้องออกมาเคลื่อนไหวก็คือตัวเอง

หรือสิ่งที่พวกตัวเองทำไว้นี่แหละ

เคยสำเหนียกไหมว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

คือเด็กออกมาเช็ดขี้ที่ผู้ใหญ่ถ่ายเอาไว้เรี่ยราด

ใครเป็นต้นตอปลุกปั่นให้ล้มล้างกติกา

ใครดูถูกดูแคลน-ลบล้างความหมายของเสียงส่วนใหญ่

ใครสร้างวัฒนธรรมว่า ถ้าเป็นพวกกูทำอะไรแล้วถูกหมด

ใครใช้อำนาจและกำลังเข้ายึดบ้านยึดเมือง

ใครที่หิวและหวงอำนาจ ถึงขนาดร่างกติกาใหม่มัดมือมัดเท้าประเทศเอาไว้ เพียงเพื่อจะอยู่บนยอดคลื่นของอำนาจต่อไปนานๆ

ฯลฯ

หัวหงอกหรือหัวดำ ?

50-60-70-80 หรือ 16-20-30?

แล้วใครจะต้องมารับผลกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อเอาไว้

ใครต้องอยู่กับสังคมง่อยเปลี้ยเสียขาต่อไป

50-60-70-80 หรือ 16-20-30?

เห็นอย่างนี้แล้วจะให้เขางอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ

นั่งพับเพียบเรียบร้อย ชุลีก้มประนมกร รอรับความเมตตา (ถ้ามี)

หรือจะให้เขาออกมาเลือกอนาคตของตัวเอง

ฉะนั้น แทนที่จะถ่ายเรี่ยราดแล้วยังโยนขี้ให้คนอื่น

ท่านหัวหงอกหรือผู้ที่ (คิดว่าตัวเอง) เป็นผู้หลักบักใหญ่ในบ้านเมืองทั้งหลาย

ไม่แต่จะต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่เป็น

ยังต้องมีส่วนร่วมในการหาทาง “ล้างบาป” หรือลดผลกรรมที่ตัวเองทำไว้กับคนอีกรุ่นหนึ่งด้วย

ถ้ายังอยากให้ลูกหลานหรือเด็กรุ่นหลังเคารพนับถือในความเป็น “ผู้ใหญ่” ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ให้สมราคา

อย่ากลายเป็นตัวตลก เป็นลุงกะเร้อกะรังหลังเขา ให้เด็กหัวร่อหรือแอบดูถูกเอาได้

ถ้ายังเชื่อสนิทใจว่าเด็กทำผิดทำไม่ถูก

ก็ต้องมีเหตุผล ข้อมูล หลักฐานมาชี้แจงทำความเข้าใจ

มันยากตรงไหนหรือ

ด้วยเครื่องมือที่มีมากกว่า สถานะทางสังคมที่ได้เปรียบกว่า

ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็แปลว่าไอ้ที่เชื่ออยู่ในสมอง หรือไอ้ของที่มีอยู่ในมือน่ะ “ของปลอม” ทั้งเพ

50-60-70-80 ต้องเข้าใจด้วยว่า

เวลาไม่ได้อยู่ข้างคุณอีกต่อไป

เวลาอยู่ในมือของ 16-20-30

หรือคนรุ่นต่อๆ ไปที่จะเติบโตขึ้นมา

ถ้ารักเด็ก รักลูกรักหลาน (อย่างน้อยก็ของตัวเอง) จริงดังปากว่า

จะส่งต่อสังคมที่มีปัญหาให้คนรุ่นใหม่เอาไปแก้ (แล้วก็แอบด่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่อยู่ในใจ)

หรือจะส่งสังคมที่สว่างสดใสกับคนส่วนใหญ่ให้เขา

ถามตัวเองให้ดีๆ ก่อนถามเด็กเถอะ