ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | เปลี่ยนผ่านประเทศ ดีกว่าทำให้ประเทศพังทั้งระบบ

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

แฟลชม็อบนักเรียนนักศึกษาเป็นตัวแปรใหม่ทางการเมืองอย่างที่เป็นมาแล้วตลอดทั้งปี

ถ้าพลังของแฟลชม็อบช่วงต้นปีคือการกดดันจนรัฐบาลยอมตั้งกรรมาธิการศึกษาการแก้รัฐธรรมนูญ พลังของแฟลชมม็อบรอบนี้ก็คือการจุดประกายให้คนทั้งประเทศพูดตรงๆ ว่าประยุทธ์และรัฐบาลออกไป

ข้อเรียกร้องที่เป็นทางการของแฟลชม็อบคือการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่, ยุบสภา และหยุดคุกคามประชาชน

แต่ภายใต้ข้อเรียกร้องที่เป็นทางการล้วนอัดแน่นไปด้วยข้อเรียกร้องไม่เป็นทางการในเรื่องซึ่งพูดตรงๆ ได้ยาก และเรื่องที่ไม่ได้พูดตรงๆ อย่างไม่ต้องการให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป

กองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างสื่อรับงาน, อาชีวะรัฐบาล และพรรคพลังประชารัฐปั่นกระแสว่าคนไล่ประยุทธ์เป็นพวกล้มสถาบัน แต่ข้อเท็จจริงที่คนทั้งประเทศรู้กันคือความเบื่อประยุทธ์มาจากการยึดอำนาจ, การบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว, การเมืองแบบพวกพ้อง ฯลฯ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องสถาบันเลย

พฤติกรรมแบบนี้ของกองเชียร์ทำให้คนวิจารณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์แอบอ้างสถาบัน

คำกล่าวหานี้จะจริงเท็จแค่ไหนคงมีแต่พระเจ้าที่รู้ แต่ที่แน่ๆ พฤติกรรมนี้สะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์หาความชอบธรรมในการเป็นนายกฯ ไม่ได้ ทำได้แค่เป็นกาฝากเกาะความชอบธรรมจากแหล่งอื่นตลอดเวลา

ถ้า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำที่จรัสแสงในตัวเอง สิ่งที่กองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ควรบอกสังคมคือ ประเทศไทยภายใต้ พล.อ.ประยุทธ์เคยมีและจะมีอะไรดีขึ้น แต่เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่และไม่เคยเป็นดาวฤกษ์แบบนี้

กองเชียร์จึงทำได้แค่ยุแยงตะแคงรั่วเพื่อรักษาอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป

เจ้าหน้าที่รัฐใต้บงการ พล.อ.ประยุทธ์พยายามปลุกปั่นว่าปฏิบัติการต่อต้านประยุทธ์มี “แกนนำ” ทั้งที่ประชาชนทุกวันนี้เบื่อหน่าย พล.อ.ประยุทธ์มากจนไม่ต้องมีใครนำใคร เช่นเดียวกับข้อเท็จจริงที่การชุมนุมหลายครั้งมีผู้จัดคือเด็กมัธยมซึ่งไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากโพสต์เฟซและทำเพจเป็น

กองหนุน พล.อ.ประยุทธ์ในคราบสื่อและนักการเมืองขี้แพ้อ้างว่าคนต้านประยุทธ์ถูก “ล้างสมอง”

แต่ผลงาน พล.อ.ประยุทธ์ในรอบหกปีประจานตัวเองจนไม่ต้องมีใครล้างสมองใคร ตรงข้ามกับการเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ที่ต้องอาศัยการล้างสมองเพื่อกล่อมประสาทให้เห็นผิดเป็นชอบมากเหลือเกิน

ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ พล.อ.ประยุทธ์และพวกไม่อยากยอมรับ การต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็นมาฆบูชาทางการเมืองที่คนนับล้านเห็นตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ความไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์มีตั้งแต่คนรักประชาธิปไตยไปจนถึงเด็กมัธยมต้นที่ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว

การทำลายประชาธิปไตยโดยสร้างสถานการณ์รัฐประหารแล้วทำทุกทางให้ตัวเองเป็นนายกฯ ตั้งแต่ปี 2557 ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นฝ่ายตรงข้ามการปกครองของประชาชน และรัฐธรรมนูญที่สร้าง “ระบอบประยุทธ์” ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นส่วนยอดของระบอบที่เผชิญหน้าประชาชนตลอดเวลา

ตรงข้ามกับโลกที่ พล.อ.ประยุทธ์และพวกสะกดจิตตัวเองว่าฝ่ายต่อต้านถูกหลอกโดย “แกนนำ” คนที่ต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์มาจากทุกชนชั้นและทุกสถานะการศึกษาจนไม่มีใครหลอกใครได้ พล.อ.ประยุทธ์กำลังเผชิญหน้ากับการต่อต้านแบบใหม่ซึ่งไม่มีทางที่การใช้อำนาจรัฐจะขจัดได้เลย

คนสีเขียวกำลังวางแผนกับอันธพาลการเมืองที่จะส่งคนเข้าม็อบนักเรียนนักศึกษาไปเป็นมือที่ 3 เพื่อเปิดทางให้คนสีกากีรวบตัว “แกนนำ” แต่ในความเป็นจริงที่การต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ทุกวันนี้เป็นไปเองจนไม่มีใครนำใคร

ยุทธวิธีแบบนี้จะยิ่งยกระดับความเกลียดชังที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล

ไม่เคยมียุคไหนที่การรวมตัวของนักเรียน, นักศึกษา และประชาชนถูกรัฐบาลลักลอบถ่ายรูปเพื่อตามล่าถึงบ้านและโรงเรียนมากเท่ารัฐบาลปัจจุบัน และถ้าทหาร-ตำรวจใช้ข้อมูลที่สอดแนมเพื่อสะท้อนความจริงกว่าความเท็จ พล.อ.ประยุทธ์ควรรู้ว่ากำลังเผชิญการต่อต้านรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย

ตรงข้ามกับรัฐบาลที่มองโลกแบบทหารแก่ยุคปราบคอมมิวนิสต์ว่าคนคิดต่างต้องถูกจัดตั้งโดย “แกนนำ” ความเคลื่อนไหวของนักเรียน, นักศึกษา และประชาชนรอบนี้เป็นเสมือนไม้เลื้อยที่ขยายตัวในแนวระนาบแล้วหยั่งรากลงดินจนขยายตัวไปไม่รู้จบขั้นไม่มี “แกนนำ” หรือ “แกนนอน”

จริงอยู่ว่ารูปแบบหลักของการต่อต้านรัฐบาลคือชุมนุมตามสถานที่สำคัญอย่างมัสยิดกรือเซะ, ศาลเจ้าพ่อพญาแล, ประตูท่าแพ, ข่วงเมืองน่าน ฯลฯ ซึ่งแปรสัญลักษณ์ท้องถิ่นเป็นพลังต่อสู้กับผู้มีอำนาจได้อย่างแยบยล แต่การต่อต้านที่น่าตื่นเต้นคือการต่อสู้ที่ใช้วัฒนธรรมร่วมสมัยเป็นเครื่องมือ

นักเรียน-นักศึกษารอบนี้ประท้วงด้วยสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย อย่างม็อบตุ้งติ้ง, แฮมทาโร่, แฮร์รี่ พอตเตอร์ และการฉลองแชมป์ลิเวอร์พูล สารที่ผู้ชุมนุมสื่อไปยังรัฐบาลก็คือปฏิบัติการต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์มีที่มาที่หลากหลาย

ไม่มีใครนำใคร และไม่มีใครเป็นศูนย์กลาง

ขณะที่จอมพลถนอม กิตติขจร และ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ถูกขับไล่ด้วยองค์กรที่มีแกนนำชัดๆ อย่างศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) หรือสมาพันธ์ประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์เผชิญการต่อต้านในแนวระนาบซึ่งมีรากที่หลากหลายที่เกี่ยวพันกันซับซ้อนจนไม่รู้ว่าอะไรคือรากแก้ว อะไรคือลำต้น และอะไรคือแกน

นอกข้อเรียกร้องเรื่องรัฐธรรมนูญ-ยุบสภา-หยุดคุกคาม และประเด็นที่กระอักกระอ่วนใจ เหตุในการปฏิเสธรัฐบาลมาจากเรื่องการศึกษา, ท้องถิ่นไม่พัฒนา, กฎหมายละเมิดคนรักเพศเดียวกัน, สองมาตรฐานทางศาสนา ฯลฯ ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายที่พร้อมจะแตกหักกับผู้มีอำนาจตลอดเวลา

ขณะที่รัฐบาลพยายามจัดการผู้ประท้วงโดยส่งอันธพาลการเมืองเป็นมือที่สามสร้างสถานการณ์เพื่อดำเนินคดีเรื่องสถาบัน สิ่งที่ผู้ประท้วงทำคือการเผชิญหน้ากับรัฐบาลด้วยการล้อเลียนและทำให้ พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็นตัวตลก

หรือพูดง่ายๆ ก็คือทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจในระยะยาว

ตรงข้ามกับรัฐบาลที่เห็นนักเรียน-นักศึกษาเป็นฝ่ายตรงข้ามซึ่งต้องดับไฟตั้งแต่ต้นลม เยาวชนปลดแอกกลับมุ่งสั่นคลอนเครือข่ายต่างๆ ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจทั้งหมด

ผลก็คือการโจมตี “สลิ่ม” เพื่อทำลายความชอบธรรมของประยุทธ์กลายเป็นหนึ่งในประเด็นหลักของม็อบโดยไม่รู้ตัว

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์มองความเคลื่อนไหวของนักเรียน-นักศึกษาเป็น “สงครามการเมือง” จนเห็นต่อไปว่าต้องพิฆาตด้วยมาตรการทางทหาร แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์กำลังเผชิญอยู่คือ “สงครามด้านความชอบธรรม” ซึ่งแทบไม่มีทางที่ พล.อ.ประยุทธ์จะมีชัยชนะได้เลย

ด้วยความเคลื่อนไหวของนักเรียน-นักศึกษาที่เป็นอยู่ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์และ “ระบอบ” ที่หนุนกำลังถูกบีบให้มีทางเลือกที่เรียวแคบมาก

ทางเลือกแรกคือการรวบ “แกนนำ” ซึ่งในที่สุดจะไม่ส่งผลอะไรในโลกที่ไม่มีใครเป็นแกนใครทั้งสิ้น หรือทางที่สองคือการฟังเพื่อหาทางให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกัน

พฤติกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์และ “ระบอบ” ชี้ว่าโอกาสในการตัดสินใจใช้การรวบมีมากกว่าการฟัง แต่วิธีนี้จะดึงสังคมทั้งหมดไปสู่การเป็นสังคมเผด็จการที่อำมหิตกว่ายุค 6 ตุลาคม 2519 และรัฐประหาร 2557 จึงเป็นทางไปสู่หายนะ

จนอาจสร้างความพังพินาศแม้แต่กับคนที่เลือกทางนี้เอง

ถ้า พล.อ.ประยุทธ์และ “ระบอบ” เห็นแก่ความอยู่รอดของประเทศยิ่งกว่าอำนาจตัวเอง การฟังและการออกแบบกติกาให้ทุกคนอยู่ร่วมกันคือหนทางที่ดีกับประเทศที่สุด เพราะในเมื่อความไม่พอใจรัฐบาลเป็นเหตุให้เกิดการพูดถึงปัญหาอื่นทั้งตรงและอ้อม การสละรัฐบาลคือวิธีที่ดีสำหรับทุกคน

ประเทศไทยวันนี้เปราะบางและเผชิญปัญหาหลายอย่างจนไม่ควรทะเลาะกันเอง

แต่เรื่องที่น่าสลดใจที่สุดคือการมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คือปัญหาที่ทำให้คนในประเทศขัดแย้งกันมากที่สุด ทั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่คนเก่งหรือดี และประเทศไทยไม่ได้อะไรจากการมีคนแบบนี้เป็นนายกฯ เลย

พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ซึ่งความชอบธรรมต่ำเพราะมลทินจากการยึดอำนาจและการจัดตั้งรัฐบาลโดยละเมิดเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ความล้มเหลวในการบริหารประเทศทำให้ความชอบธรรมหดหายลงไปอีก เช่นเดียวกับการปรับคณะรัฐมนตรีรอบล่าสุดที่ไม่เพิ่มความยอมรับแม้แต่นิดเดียว

หกปีของ พล.อ.ประยุทธ์ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในสงครามด้านความชอบธรรมอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวของนักเรียน-นักศึกษาชี้ว่าวิกฤตความชอบธรรมของ พล.อ.ประยุทธ์มาถึงจุดที่เป็นวิกฤตด้านความยอมรับนับถือไปเรียบร้อยแล้ว ทางรอดของรัฐบาลจึงมีแต่การใช้กำลังเท่านั้นเอง

พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่ล็อกประเทศให้อยู่กับทางเลือกที่เรียวแคบ หนทางของการใช้กำลังจะนำประเทศไปสู่การปกครองแบบเกสตาโปซึ่งเป็นเส้นทางที่ถอยหลังทางเศรษฐกิจและสังคมมากที่สุด การปลดล็อกด้วยการเปลี่ยนนายกฯ หรือเปลี่ยนกติกาคือหนทางเดียวของการฟื้นฟูประเทศไทย

อวิชชาของผู้มีอำนาจกำลังนำประเทศไปสู่ทางสองแพร่งที่เลี้ยวกลับไม่ได้ ทางแรกคือการกำจัดฝ่ายตรงข้ามเพื่อปกครองตามอำเภอใจซึ่งอาจจบด้วยการพังทลายทั้งระบอบ (Total Annihilation)

ส่วนทางที่สองคือการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่กติกาที่ทุกฝ่ายพอยอมรับได้เพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน