จิตต์สุภา ฉิน : ฝันของชาวอินเดียที่ดับลง พร้อมการแบน TikTok

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

อินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศจีนสำหรับแอพพลิเคชั่นแชร์วิดีโอสั้นอย่าง TikTok โดยคาดประมาณกันว่าน่าจะมีผู้ใช้งานชาวอินเดียที่อยู่บนแพลตฟอร์มนี้มากถึง 200 ล้านคน

ดังนั้น จึงคาดเดาไม่ยากเลยว่าคนอินเดียจะช็อกแค่ไหนที่จู่ๆ รัฐบาลอินเดียก็ประกาศแบนแอพพลิเคชั่น TikTok อย่างกะทันหัน พร้อมๆ กับการแบนแอพพ์สัญชาติจีนอื่นๆ อีก 58 แอพพ์ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ และต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ปะทะกับทหารจีนที่ชายแดนจนนำไปสู่การเสียชีวิตของทหารอินเดียมากกว่า 20 นาย

คนที่ส่งเสียงเฮอย่างรวดเร็วที่สุดก็คือบรรดาแอพพลิเคชั่นคู่แข่งและบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอินเดียทั้งหลาย ที่เมื่อคู่แข่งรายใหญ่ๆ ทุนหนาๆ จากประเทศจีนถูกขัดขาให้หกล้มวิ่งต่อไปไม่ได้ ก็ถือเป็นโอกาสที่บริษัทเหล่านี้จะเข้ามากอบโกยผู้ใช้งานที่ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างด้วยการนำแอพพ์ในแบบที่ให้บริการคล้ายๆ กันเข้าไปนำเสนอในฐานะตัวเลือกใหม่ที่สัญญาว่าจะรู้ใจคนอินเดียได้มากกว่า

หลังจากที่เคยรวมตัวกันเรียกร้องกับทางการมาแล้วว่าให้ลงมือทำอะไรสักอย่างกับแอพพ์จากประเทศจีนที่ครองตลาดอย่างเหนียวแน่น ท่ามกลางความกลัวว่าแอพพ์เหล่านี้จะแผ่อิทธิพลไปครอบงำความคิดของคนอินเดียโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

มองจากภายนอกอย่างผิวเผินก็อาจจะรู้สึกว่าแบน TikTok ไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ก็แค่ไม่ได้นั่งพลิกวิดีโอสั้นดูไปเรื่อยๆ ทำไมไม่ไปหาทางเลือกอื่น โซเชียลมีเดียอื่นก็มีอีกตั้งเยอะ ดีเสียอีกได้ประหยัดเวลาในชีวิตไม่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ไปกับการดูหรือถ่ายวิดีโอเล่นๆ

แต่ผลกระทบมันไม่ได้มีแค่ความรู้สึกอารมณ์เสียเพราะไม่ได้ดูคลิปต่อ

เพราะว่า TikTok ได้กลายเป็นเครื่องมือหารายได้และประตูสู่โลกกว้างของคนอินเดียไปแล้ว โดยเฉพาะคนอินเดียที่ไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่

 

ผู้หญิงอินเดียที่อาศัยอยู่ในชนบทจำนวนไม่น้อยค้นพบว่า TikTok เป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกเธอเป็นได้มากกว่าแม่บ้านที่มีหน้าที่ดูแลตอบสนองความต้องการของคนในครอบครัว หลายๆ คนผันตัวเองจากการเป็นแม่บ้านขี้อายที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับใคร กลายมาเป็นดาราบน TikTok ที่ทั้งเต้นรำ ร้องเพลง แสดงบทบาทที่พวกเธอเองก็ไม่เคยคิดว่าจะกล้าทำในชีวิตนี้ จนสามารถสร้างฐานผู้ติดตามขนาดใหญ่และได้รายได้จากสปอนเซอร์คลิป

แม้ว่ารายได้จะไม่ได้มากมายอะไร แต่สำหรับผู้หญิงในชนบท พวกเธอบอกว่าแค่ได้รายได้เพิ่มสี่ซ้าห้าบาทก็มีความหมายมากมายแล้ว

แต่ TikTok ทำให้พวกเธอมีรายได้จากการโพสต์คลิปถึงตั้งเป็นพันกว่าบาทต่อคลิป

อินเดียเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยภาษาถิ่นที่หลากหลาย กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากร 1.3 พันล้านคนในอินเดียอาศัยอยู่ในแถบชนบทและไม่ได้พูดภาษาอังกฤษได้เหมือนกับที่เรามักจะเห็นชนชั้นสูงของอินเดียพูดกันบ่อยๆ

สำหรับคนอินเดียกลุ่มนี้ ทักษะในการสื่อสารภาษาต่างประเทศถือเป็นทักษะของคนอีกชนชั้น เช่นเดียวกับ Bollywood ที่เป็นความบันเทิงของคนมีอันจะกิน

ในขณะที่โซเชียลมีเดียยอดฮิตของคนทั่วโลกอย่าง Instagram ก็รองรับเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาฮินดีเท่านั้น ไม่ได้รองรับภาษาท้องถิ่นอินเดียอื่นๆ

กำแพงทางภาษาที่มาพร้อมกับชนชั้นนี่เองที่ทำให้แฟนๆ พันธุ์แท้ของ TikTok ในอินเดียคือชาวบ้านในหมู่บ้านชั้นสองที่ไม่ได้อยู่ในเมืองที่เป็นฮับทางเศรษฐกิจอะไร

หลายๆ คนเพิ่งเคยใช้โซเชียลมีเดียเป็นครั้งแรก และแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถอ่านภาษาอังกฤษได้ แต่ธรรมชาติของการสื่อสารด้วยภาพเคลื่อนไหวก็ทำให้ภาษาในรูปแบบข้อความแทบจะไม่มีความจำเป็นเลย

แตกต่างจาก Facebook หรือ Twitter ที่พึ่งพาการสื่อสารด้วยตัวอักษรเป็นหลัก

แถม TikTok ก็ไม่ได้กินทรัพยากรอะไรมาก ดาวน์โหลดบนอินเตอร์เน็ตความเร็วต่ำได้สบายๆ อีกด้วย

 

TikTok จึงถูกมองเป็นเครื่องมือที่ใช้ช่วยทลายกำแพงที่มองไม่เห็น ทำให้คนจำนวนมากในชนบทสามารถออกสู่โลกกว้าง และแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกได้ในแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง และสามารถสร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเพิ่มพูนโอกาสใหม่ๆ ที่นึกไม่ถึงได้ด้วย

นับเป็นครั้งแรกที่ชาวชนบทในอินเดียได้มีพื้นที่ที่พวกเขาเพลิดเพลินไปกับมันได้อย่างแท้จริง

แต่จู่ๆ พื้นที่แห่งนี้ก็ถูกปิดตายพร้อมกับความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีให้กับอนาคตที่ไม่แน่นอน

สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้คือการโพสต์คลิปวิดีโอบอกลากันและกันก่อนที่แอพพ์จะปิดตัวลงและไม่ปรากฏอยู่บนร้านค้าแอพพ์ไม่ว่าจะเป็น App Store หรือ Play Store อีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ TikTok ต้องตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ยากลำบากในอินเดีย เพราะในเดือนเมษายนปีที่แล้วอินเดียก็เคยแบนแอพพ์นี้มาแล้วครั้งหนึ่งอันเนื่องมาจากการที่ TikTok ล้มเหลวในการป้องกันไม่ให้มีคอนเทนต์ที่เป็นภาพอนาจารของเยาวชน

TikTok แก้ปัญหาด้วยการลบวิดีโอทิ้งมากกว่า 6 ล้านคลิป ทางการอินเดียจึงยอมให้กลับมาให้บริการได้อีกครั้ง

แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ความคุกรุ่นก็ยังมาจากอีกหลายทาง ทั้งความกลัวว่า TikTok ที่เป็นแอพพ์ของบริษัทจีนจะส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้กลับไปให้รัฐบาลจีน

ไปจนถึงความเป็นห่วงว่าที่ผ่านมามีคนอินเดียประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในระหว่างการอัดวิดีโอเพื่อนำไปโพสต์บน TikTok มาแล้ว

 

NPR บอกว่า ถ้าทางการของจีนเกิดตอบโต้ขึ้นมา อินเดียเองก็น่าจะต้องเจ็บหนักไม่แพ้กัน เพราะมากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์นหรือสตาร์ตอัพที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ของอินเดียปฏิบัติการบนเงินลงทุนของจีน และจีนก็สามารถสั่งให้บริษัทเหล่านั้นถอนทุนออกได้ง่ายๆ

ส่วน ByteDance เจ้าของ TikTok จะเจ็บแค่ไหน จากการคาดการณ์ระบุว่าแม้อินเดียจะเป็นตลาดนอกประเทศจีนที่มีขนาดใหญ่และเติบโตรวดเร็วแต่ก็ไม่ได้เป็นตลาดที่สร้างรายได้ให้บริษัทขนาดนั้น

เนื่องจากโฆษณาออนไลน์ขายได้ในมูลค่าที่น้อยกว่าประเทศอื่นๆ และมาร์เก็ตแชร์ของตลาดอินเดียก็ต่ำกว่า 1% ด้วย

แต่ก็น่าจะไปเจ็บในจุดที่การเติบโตนอกจีนของ TikTok จะต้องชะงักลงครั้งใหญ่

ไม่ว่าฝั่งไหนจะสูญเสียมากกว่ากัน แต่กลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสูญเสียรายได้แม้แต่รูปีเดียวก็คือกลุ่มผู้ใช้ TikTok ในชนบทที่ในตอนนี้ก็จะต้องรีบปาดน้ำตา ลุกขึ้นมา

และหาแพลตฟอร์มใหม่ที่จะแจ้งเกิดได้อีกครั้ง